กาญจนบุรี - ผู้ว่าฯ กาญจนบุรี เบรกแตก เรื่องแผ่นดินไหว ชีวิตคนเมืองกาญจน์ขึ้นอยู่กับดวง โวย ปภ.ไม่เร่งลงพื้นที่เตรียมความพร้อมตามแผนเผชิญเหตุ เชื่อเขื่อนมั่นคงแต่ไม่ประมาท ยันได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว
จากกรณีที่นักวิชาการด้านวิศวกรรมและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับธรณีวิทยาได้ออกมาแสดงความเห็นวิเคราะห์สถานการณ์เป็นห่วงรอยเลื่อยแผ่นดินในเขตภาคตะวันตกหากเกิดการสั่นไหวระดับ 7.5 ริกเตอร์ จะส่งผลให้ กทม.ที่เป็นพื้นที่ชั้นดินอ่อน สิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีการรองรับแผ่นดินไหวจะเกิดปัญหาประสบภัยเหมือนกับเม็กซิโกนั้น
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (20 เม.ย.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์วิกฤตจากเขื่อนว่า ในส่วนความคิดของตนจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงสถิติ รวมถึงเรื่องวิศวกรรมต่างๆ ตนมีความเชื่อมั่นว่า เขื่อนมีการก่อสร้างอย่างมีมาตรฐานในระดับสากล และมีความมั่นคงแข็งแรง แต่ในส่วนของความไม่ประมาทหากเกิดภาวะวิกฤตเราก็มีแผนร่วมกันทั้งเขื่อนต่างๆ และจังหวัดก็มีแนวทางในการปฏิบัติ รวมถึงข้อมูลทางกายภาพเกี่ยวกับเส้นทางไหลน้ำ และระดับน้ำ โดยมีการคำนวณระยะการเดินทางของน้ำว่าจะไหลมายังพื้นที่ต่างๆ ไว้แล้วในทุกด้าน ขาดอย่างเดียว คือการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ความรู้ประชาชน โดยการซ้อมและกำหนดสัญญลักษณ์จุดเสี่ยงภัยระดับน้ำ และพื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบว่าหากอยู่ในภาวะวิกฤตต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะปลอดภัย
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ นับเป็นกรรมของชาว จ.กาญจนบุรี ที่ต้องตกอยู่ในสภาวการณ์ที่เสี่ยงต้องขึ้นกับดวง ทั้งนี้ เกิดจากหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่เอาใจใส่และดำเนินการให้เกิดความต่อเนื่องในทางปฏิบัติเรื่องป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเท่าที่ควร โดยตนในฐานะที่เคยเป็นรองผู้ว่าฯ กาญจนบุรีมาก่อน ได้รับผิดชอบงานของ ปภ.มาตลอด ในช่วง 2-3 ปีนี้ ได้พยายามติดตามสั่งการให้ ทาง ปภ.เร่งเตรียมความพร้อม ให้ความรู้ และจัดซ้อมแผนเผชิญเหตุแก่ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อให้ประชาชนมีความรู้และสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องหากเกิดเหตุการณ์วิกฤต ตอนนี้ทำได้สมบูรณ์แค่ 1 แห่ง คือที่ ต.หนองบัง อ.เมืองกาญจนบุรี เท่านั้น
ส่วนอีกแห่งเขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ก็มีการซักซ้อมแค่ 1 ชุมชน แต่ประชาชนที่อยู่ในจุดได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ยังไม่รับทราบข้อมูลมากพอสมควร ตอนนี้หากกรม ปภ.ลงมาให้ความรู้ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุโดยประสาน อปท.ในพื้นที่ต่างๆ ตลอดเส้นทางน้ำผ่าน ก็จะสร้างความมั่นใจและสามารถปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยได้ เราก็จะไม่สูญเสียในชีวิต แต่เคยประสานไปยังกรม ปภ.ก็ไม่มีความคืบหน้า เป็นเรื่องที่ กรม ปภ.ต้องสนับสนุนโดยตรง เพราะเป็นภัยที่ไม่ใช่เกิดผลกระทบเฉพาะ จ.กาญจนบุรีเท่านั้น จังหวัดท้ายน้ำตลอดเส้นทางแม่น้ำแม่กลองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวต่อว่า สั่งการก็แล้ว ประสานกับผู้ใหญ่ในกรม ปภ.ก็แล้ว ก็ไม่เกิดการปฏิบัติ วันนี้แค่กำหนดสัญญลักษณ์ตามเสาไฟว่าระดับน้ำจะสูงแค่ไหน จากนั้นมีสัญญลักษณ์ชี้เส้นทางเพื่อนำทางไปยังจุดปลอดภัยที่กำหนดไว้ และให้ข้อมูลแก่ชุมชนต่างๆ ให้ทราบว่า น้ำจะถึงในเวลานานเท่าไหร่ ยิ่งมีการนำไปสู่การปฏิบัติโดยซ้อมแผนเผชิญเหตุชาวบ้านจะได้รู้ว่า 1.เกิดเหตุต้องเตรียมพร้อมอย่างไร 2.เดินทางไปจุดรวมพลที่จุดไหน 3.การลำเลียงขนส่งไปยังจุดปลอดภัยที่มีการประสานงานเตรียมพร้อมทั้งเรื่องที่พัก อาหาร และการรักษาพยาบาล แบบนี้ง่ายแต่ไม่ทำกัน
“ผมอยากให้กรม ปภ.ลงพื้นที่มาอย่างจริงจัง ใครทำงานได้ก็ทำต่อไป ใครทำงานไม่ได้ก็ย้ายออกไป เพราะชีวิตของคนกาญจนบุรี ก็เป็นประชาชนคนไทยเหมือนกัน ต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ไม่ใช้เกิดแผ่นดินไหวทีไรคนเมืองกาญจนบุรีขวัญหนีดีฝ่อทุกครั้ง นักท่องเที่ยวหดหาย ทั้งที่ หากเราเตรียมความพร้อมทุกคนรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร เราสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ เพราะเรามีความพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์” ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าว
จากกรณีที่นักวิชาการด้านวิศวกรรมและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับธรณีวิทยาได้ออกมาแสดงความเห็นวิเคราะห์สถานการณ์เป็นห่วงรอยเลื่อยแผ่นดินในเขตภาคตะวันตกหากเกิดการสั่นไหวระดับ 7.5 ริกเตอร์ จะส่งผลให้ กทม.ที่เป็นพื้นที่ชั้นดินอ่อน สิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีการรองรับแผ่นดินไหวจะเกิดปัญหาประสบภัยเหมือนกับเม็กซิโกนั้น
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (20 เม.ย.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมความพร้อมหากเกิดสถานการณ์วิกฤตจากเขื่อนว่า ในส่วนความคิดของตนจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงสถิติ รวมถึงเรื่องวิศวกรรมต่างๆ ตนมีความเชื่อมั่นว่า เขื่อนมีการก่อสร้างอย่างมีมาตรฐานในระดับสากล และมีความมั่นคงแข็งแรง แต่ในส่วนของความไม่ประมาทหากเกิดภาวะวิกฤตเราก็มีแผนร่วมกันทั้งเขื่อนต่างๆ และจังหวัดก็มีแนวทางในการปฏิบัติ รวมถึงข้อมูลทางกายภาพเกี่ยวกับเส้นทางไหลน้ำ และระดับน้ำ โดยมีการคำนวณระยะการเดินทางของน้ำว่าจะไหลมายังพื้นที่ต่างๆ ไว้แล้วในทุกด้าน ขาดอย่างเดียว คือการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ความรู้ประชาชน โดยการซ้อมและกำหนดสัญญลักษณ์จุดเสี่ยงภัยระดับน้ำ และพื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบว่าหากอยู่ในภาวะวิกฤตต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะปลอดภัย
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ นับเป็นกรรมของชาว จ.กาญจนบุรี ที่ต้องตกอยู่ในสภาวการณ์ที่เสี่ยงต้องขึ้นกับดวง ทั้งนี้ เกิดจากหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่เอาใจใส่และดำเนินการให้เกิดความต่อเนื่องในทางปฏิบัติเรื่องป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเท่าที่ควร โดยตนในฐานะที่เคยเป็นรองผู้ว่าฯ กาญจนบุรีมาก่อน ได้รับผิดชอบงานของ ปภ.มาตลอด ในช่วง 2-3 ปีนี้ ได้พยายามติดตามสั่งการให้ ทาง ปภ.เร่งเตรียมความพร้อม ให้ความรู้ และจัดซ้อมแผนเผชิญเหตุแก่ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อให้ประชาชนมีความรู้และสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องหากเกิดเหตุการณ์วิกฤต ตอนนี้ทำได้สมบูรณ์แค่ 1 แห่ง คือที่ ต.หนองบัง อ.เมืองกาญจนบุรี เท่านั้น
ส่วนอีกแห่งเขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรี ก็มีการซักซ้อมแค่ 1 ชุมชน แต่ประชาชนที่อยู่ในจุดได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ยังไม่รับทราบข้อมูลมากพอสมควร ตอนนี้หากกรม ปภ.ลงมาให้ความรู้ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุโดยประสาน อปท.ในพื้นที่ต่างๆ ตลอดเส้นทางน้ำผ่าน ก็จะสร้างความมั่นใจและสามารถปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยได้ เราก็จะไม่สูญเสียในชีวิต แต่เคยประสานไปยังกรม ปภ.ก็ไม่มีความคืบหน้า เป็นเรื่องที่ กรม ปภ.ต้องสนับสนุนโดยตรง เพราะเป็นภัยที่ไม่ใช่เกิดผลกระทบเฉพาะ จ.กาญจนบุรีเท่านั้น จังหวัดท้ายน้ำตลอดเส้นทางแม่น้ำแม่กลองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวต่อว่า สั่งการก็แล้ว ประสานกับผู้ใหญ่ในกรม ปภ.ก็แล้ว ก็ไม่เกิดการปฏิบัติ วันนี้แค่กำหนดสัญญลักษณ์ตามเสาไฟว่าระดับน้ำจะสูงแค่ไหน จากนั้นมีสัญญลักษณ์ชี้เส้นทางเพื่อนำทางไปยังจุดปลอดภัยที่กำหนดไว้ และให้ข้อมูลแก่ชุมชนต่างๆ ให้ทราบว่า น้ำจะถึงในเวลานานเท่าไหร่ ยิ่งมีการนำไปสู่การปฏิบัติโดยซ้อมแผนเผชิญเหตุชาวบ้านจะได้รู้ว่า 1.เกิดเหตุต้องเตรียมพร้อมอย่างไร 2.เดินทางไปจุดรวมพลที่จุดไหน 3.การลำเลียงขนส่งไปยังจุดปลอดภัยที่มีการประสานงานเตรียมพร้อมทั้งเรื่องที่พัก อาหาร และการรักษาพยาบาล แบบนี้ง่ายแต่ไม่ทำกัน
“ผมอยากให้กรม ปภ.ลงพื้นที่มาอย่างจริงจัง ใครทำงานได้ก็ทำต่อไป ใครทำงานไม่ได้ก็ย้ายออกไป เพราะชีวิตของคนกาญจนบุรี ก็เป็นประชาชนคนไทยเหมือนกัน ต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ไม่ใช้เกิดแผ่นดินไหวทีไรคนเมืองกาญจนบุรีขวัญหนีดีฝ่อทุกครั้ง นักท่องเที่ยวหดหาย ทั้งที่ หากเราเตรียมความพร้อมทุกคนรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร เราสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ เพราะเรามีความพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์” ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าว
