กาญจนบุรี - ชาวนากาญจนบุรีกว่า 200 รายบุกศาลากลางจังหวัด ยื่นหนังสือผู้ว่าฯ กาญจน์ เรียกร้องขอเปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือกนอกพื้นที่ ขู่หากไม่สำเร็จพร้อมปิดถนนเทข้าวประท้วง
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (2 เม.ย.) ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายสมปอง คำเที่ยง ประธานกลุ่มเกษตรกรชาวนาพระแท่น นางภูษา เชียงกา ประชาสัมพันธ์กลุ่มเกษตรกรทำนาหนองสาหร่าย แกนนำ พร้อมเกษตรกรชาวนากว่า 200 ราย รวมตัวเข้าพบ นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผวจ.กาญจนบุรี เพื่อยื่นหนังสือร้องขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือกในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเพิ่มครั้งนี้ มี ว่าที่ ร.ต.เชิดศักดิ์ จำปาเทศ รอง ผวจ.กาญจนบุรี เป็นผู้รับหนังสือแทน พร้อมส่งแกนนำเข้าห้องประชุมเพื่อเจรจา
นายสมปอง คำเที่ยง ประธานกลุ่มเกษตรกรชาวนาพระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ตามที่กลุ่มเกษตรกร และตลาดกลางข้าวเปลือกในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้ทำหนังสือขอให้จังหวัดได้พิจารณาเปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่จากโรงรับจำขำข้าวเปลือกนอกพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่ที่ไม่มีโรงสีเปิดจุดรับจำนำ หรือมีแต่มีน้อย ซึ่งไม่เพียงพอสำรับรองรับความต้องการของเกษตรกร ตามโครงการรับจำนำข้าวนาปรัง ปี 2555
สืบเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวนาปี ฤดูผลผลิต 2554/2555 ที่ผ่านมานั้น กลุ่มเกษตรกรและตลาดกลางข้าวเปลือกในจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกรทำนาหนองสาหร่าย, กลุ่มเกษตรกรอำเภอพนมทวน, วิสาหกิจชุมชนศูนย์บริการ และถ่ายทอดฯ ตลาดกลางข้าวเปลือกตำบลโคกตะบอง, กลุ่มเกษตรกรทำนาพระแท่น หจก.พรสมหวัง (โรงสีเต็กเฮง) และกลุ่มเกษตรกรทำนาบ้านดอนมะสังข์,
ซึ่งทั้ง 6 กลุ่มได้ยื่นหนังสือร้องขอให้โรงสีนอกพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มาเปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือก บริเวณตลาดกลางของกลุ่มต่างๆ ที่ได้ร้องขอไป ซึ่งกลุ่มเกษตรกรดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ตามระบบของทางราชการ ซึ่งกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ได้พิจารณาปริมาณข้าวเปลือกที่คาดว่าเกษตรกรจะผลิตได้จากแบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร เทียบกับจำนวนโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีอยู่ทั้งหมด 9 แห่งนั้น มีศักยภาพในการรับจำนำข้าวไม่ไหว
ดังนั้น เราจึงได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการรับจำนำในระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาให้โรงสีข้าวนอกจังหวัดฯ ให้เข้ามารับจำนำข้าวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง และเป็นการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากโรงสีภายในพื้นที่ได้ และยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาการรับจำนำข้าวเปลือกอีกด้วย
ด้านนางภูษา เชียงกา แกนนำ และประชาสัมพันธ์กลุ่มเกษตรกรทำนาหนองสาหร่าย อ.พนมทวน กล่าวว่า ที่ผ่านมา โรงสีที่อยู่ภายนอกจังหวัด ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอในการรับจำนำข้าวเปลือก และสามารถให้ราคาแก่เกษตรกรต่างกันไม่ต่ำกว่าตันละ 1,000 บาท จากการคิดคำนวณมูลค่าการรับจำนำข้าวของฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นจำนวนตัวเลขสูงถึง 180,000 ตัน มูลค่า 180 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว สมควรที่เกษตรกรจะได้รับ แต่ผลประโยชน์กลับไปตกอยู่ที่โรงสีที่ทางจังหวัดกาญจนบุรีจัดหาให้
ฉะนั้น ในฤดูกาลผลิตข้าวนาปรังประจำปี 2555 ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน พวกเรากลุ่มเกษตรกรทั้ง 6 กลุ่ม จึงไม่มีความไว้วางใจต่อคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการรับจำนำระดับจังหวัด เนื่องจากที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการฯชุดดังกล่าว ไม่เคยเล็งเห็นปัญหาของเกษตรกรว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรหรือไม่ ซึ่งสามารถดูได้จากโครงการรับจำนำฤดูกาลผลิต 2554/2555 ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้รับรองกับเราว่าจะไม่ทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบและเดือดร้อน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรได้
สำหรับการเดินทางมายื่นหนังสือให้แก่ทางจังหวัดในครั้งนี้ หวังว่าคงจะได้รับความอนุเคราะห์ในเรื่องของการร้องขอเปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือก ตามสถานที่ของกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ที่กำหนดไว้ หากทำสำเร็จผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะตกอยู่ที่เกษตรกรทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ตาม หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ หรือไม่มีความจริงใจในการให้ความช่วยเหลือ พวกเรากลุ่มเกษตรกรทั้งหมดจะประชุมหารือเพื่อนัดหมายสถานที่รวมตัวกันประท้วงด้วยการเทข้าวเปลือกปิดถนน ซึ่งเป็นแนวทางกดดันหน่วยงานภาครัฐ และรัฐบาล ให้ลงมาช่วยเหลือพวกเราอีกทางหนึ่ง
ด้านว่าที่ ร.ต.เชิดศักดิ์ จำปาเทศ รอง ผวจ.กาญจนบุรี กล่าวว่า หลังจากรับหนังสือจากกลุ่มเกษตรกรแล้ว ตนก็ได้อธิบายให้แก่ชาวนาที่เดินทางมาในครั้งนี้เข้าใจ ซึ่งจังหวัดเองไม่มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ ในส่วนผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งทางจังหวัดได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการในการกำกับดูแลการรับจำนำข้าวระดับจังหวัด เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับโรงสีที่จะเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของกลุ่มเกษตรอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ตนจะยื่นหนังสือดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงทราบ เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กลุ่มเกษตรกรชาวนาต่อไป