ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนแถลงคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ผลาญงบฯ สูญเสียระบบนิเวศ และผืนป่าแหล่งดูดซับก๊าซฯ ที่ก่อปัญหาโลกร้อน ทำลายป่าสักอันดับ 2 ของประเทศ กังขาตัวเลขงบก่อสร้างพุ่งสูงผิดสังเกต ย้ำต้องผ่านกระบวนการตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 67 ก่อนลงมือ
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 เห็นชอบข้อเสนอของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในโครงการเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์-กำแพงเพชร ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งติดต่อกับผืนป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร พื้นที่ป่ามรดกโลกทางธรรมชาติ โดยมีข้ออ้างที่เป็นสูตรสำเร็จ คือ การป้องกันน้ำท่วม และช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร ทั้งๆ ที่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างมีเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่า 10 เขื่อนแล้ว แต่ก็มิสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ได้
อีกทั้งโครงการดังกล่าวคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติไม่เห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไปแล้วตั้งแต่ปี 2545 และยังเสนอให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ในลักษณะบูรณาการมากกว่าที่จะเสนอให้มีการสร้างเขื่อนเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น
แต่รัฐบาลยุคนี้กลับใช้ข้ออ้างปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 มาเป็นตัวประกันเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเร่งรีบการสร้างเขื่อนดังกล่าว โดยมิได้พิจารณาเลยว่าน้ำท่วมที่ผ่านมาเป็นความผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลและหน่วยงานราชการทั้งระบบมากกว่าการไม่มีเขื่อน
การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ไปมากกว่า 13,000 ไร่ ต้องสูญเสียผืนป่าแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อปัญหาโลกร้อน โดยมีไม้สักหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากอุทยานแห่งชาติแม่ยม จ.แพร่ ซึ่งจะถูกนำมาเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ในการทำสัมปทานไม้ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท ชักลากไม้ออกจากป่า 4-5 ปีก็ยังไม่หมด นอกจากนั้น ลักษณะเด่นของผืนป่าแม่วงก์คือ มีสภาพเป็นป่าลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากป่าในบริเวณที่สูงกว่า เพราะเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และแหล่งหากินของสัตว์ป่า โดยเฉพาะในหน้าแล้งสัตว์ป่าบางชนิดจะอาศัยอยู่เฉพาะที่ลุ่มหรือใกล้แม่น้ำเท่านั้น ป่าที่ลุ่มในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ก็เหลืออยู่น้อยมาก หากถูกน้ำท่วมอ่างเก็บน้ำจะเป็นตัวกีดขวางทางเดินของสัตว์ป่าและแบ่งพื้นที่ป่าออกเป็นสองส่วนจึงนับว่าเป็นการสูญเสียในด้านระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพที่ประเมินค่าไม่ได้
นอกจากนั้น มีข้อที่น่าสังเกตคือ เมื่อมีการเสนอโครงการนี้ใหม่ๆ ในปี 2528 กรมชลประทานเสนอใช้งบประมาณในการก่อสร้างเพียง 3,187 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีความจุของน้ำเหนือเขื่อน 380 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่พอเดือนสิงหาคม 2554 กรมชลประทานเพิ่มงบประมาณเป็น 9,629 ล้านบาท โดยลดความจุของน้ำเหนือเขื่อนเหลือ 258 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 8 เดือนกลับมีการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างไปถึง 13,000 ล้านบาท อันเป็นข้อน่าสงสัยว่าจะเป็นโครงการผลาญงบประมาณของชาติอีกโครงการหนึ่งจากเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทหรือไม่
ที่สำคัญ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเสียก่อน โดยเฉพาะในมาตรา 57 มาตรา 58 มาตรา 66 มาตรา 85 และมาตรา 87 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่หากรัฐบาลรวบรัดดำเนินการ และใช้เทคนิคเลี่ยงขั้นตอนตามกฎหมาย สมาคมฯ และชาวบ้านก็พร้อมจะใช้กระบวนการยุติธรรมตามมาตรา 60 และมาตรา 67 วรรคสาม เพื่อยับยั้งและเพิกถอนโครงการดังกล่าวแน่นอน
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 เห็นชอบข้อเสนอของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในโครงการเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์-กำแพงเพชร ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งติดต่อกับผืนป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร พื้นที่ป่ามรดกโลกทางธรรมชาติ โดยมีข้ออ้างที่เป็นสูตรสำเร็จ คือ การป้องกันน้ำท่วม และช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตร ทั้งๆ ที่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างมีเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางมากกว่า 10 เขื่อนแล้ว แต่ก็มิสามารถป้องกันปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ได้
อีกทั้งโครงการดังกล่าวคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติไม่เห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ไปแล้วตั้งแต่ปี 2545 และยังเสนอให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ ในลักษณะบูรณาการมากกว่าที่จะเสนอให้มีการสร้างเขื่อนเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น
แต่รัฐบาลยุคนี้กลับใช้ข้ออ้างปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 มาเป็นตัวประกันเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเร่งรีบการสร้างเขื่อนดังกล่าว โดยมิได้พิจารณาเลยว่าน้ำท่วมที่ผ่านมาเป็นความผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลและหน่วยงานราชการทั้งระบบมากกว่าการไม่มีเขื่อน
การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์จะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ไปมากกว่า 13,000 ไร่ ต้องสูญเสียผืนป่าแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อปัญหาโลกร้อน โดยมีไม้สักหนาแน่นเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทยรองจากอุทยานแห่งชาติแม่ยม จ.แพร่ ซึ่งจะถูกนำมาเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ในการทำสัมปทานไม้ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท ชักลากไม้ออกจากป่า 4-5 ปีก็ยังไม่หมด นอกจากนั้น ลักษณะเด่นของผืนป่าแม่วงก์คือ มีสภาพเป็นป่าลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากป่าในบริเวณที่สูงกว่า เพราะเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และแหล่งหากินของสัตว์ป่า โดยเฉพาะในหน้าแล้งสัตว์ป่าบางชนิดจะอาศัยอยู่เฉพาะที่ลุ่มหรือใกล้แม่น้ำเท่านั้น ป่าที่ลุ่มในเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ก็เหลืออยู่น้อยมาก หากถูกน้ำท่วมอ่างเก็บน้ำจะเป็นตัวกีดขวางทางเดินของสัตว์ป่าและแบ่งพื้นที่ป่าออกเป็นสองส่วนจึงนับว่าเป็นการสูญเสียในด้านระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพที่ประเมินค่าไม่ได้
นอกจากนั้น มีข้อที่น่าสังเกตคือ เมื่อมีการเสนอโครงการนี้ใหม่ๆ ในปี 2528 กรมชลประทานเสนอใช้งบประมาณในการก่อสร้างเพียง 3,187 ล้านบาทเท่านั้น โดยมีความจุของน้ำเหนือเขื่อน 380 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่พอเดือนสิงหาคม 2554 กรมชลประทานเพิ่มงบประมาณเป็น 9,629 ล้านบาท โดยลดความจุของน้ำเหนือเขื่อนเหลือ 258 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 8 เดือนกลับมีการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างไปถึง 13,000 ล้านบาท อันเป็นข้อน่าสงสัยว่าจะเป็นโครงการผลาญงบประมาณของชาติอีกโครงการหนึ่งจากเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทหรือไม่
ที่สำคัญ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเสียก่อน โดยเฉพาะในมาตรา 57 มาตรา 58 มาตรา 66 มาตรา 85 และมาตรา 87 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่หากรัฐบาลรวบรัดดำเนินการ และใช้เทคนิคเลี่ยงขั้นตอนตามกฎหมาย สมาคมฯ และชาวบ้านก็พร้อมจะใช้กระบวนการยุติธรรมตามมาตรา 60 และมาตรา 67 วรรคสาม เพื่อยับยั้งและเพิกถอนโครงการดังกล่าวแน่นอน