ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “กรีนบัส” เผยราคาน้ำมันดีเซลพุ่งทะลุลิตรละกว่า 33 บาท ส่งผลให้แบกรับภาระต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มเดือนละกว่า 3.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 10% ของรายได้ จี้รัฐอนุมัติปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้นกิโลเมตรละ 0.07 บาท เผยหากไม่ตอบรับอาจจำเป็นต้องงดเดินรถในเส้นทางที่ขาดทุน พร้อมระบุช่วงสงกรานต์คงไม่สามารถหารถเสริมมาช่วยวิ่งรับผู้โดยสารได้ เพราะค่าเช่าเพิ่มขึ้นสูงลิ่ว แต่ค่าโดยสารยังเท่าเดิม
นายสมชาย ทองคำคูณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด หรือ “กรีนคอร์ป” ผู้ประกอบการรถโดยสารรายใหญ่เส้นทางเดินรถครอบคลุมจังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยว่า จากการที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ลิตรกว่า 33 บาท ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการประกอบธุรกิจรถโดยสารของบริษัทฯ ที่จำเป็นต้องใช้น้ำมันดีเซลกว่าเดือนละ 4 แสนลิตร
ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันที่ทางกรมการขนส่งทางบกบังคับใช้ในการให้ผู้ประกอบการกำหนดค่าโดยสารยังคงอยู่ที่ราคาลิตรละ 24.71 บาท ซึ่งทำให้บริษัทฯ ต้องแบกรับภาระส่วนต่างราคาน้ำมันลิตรละ 8 บาทกว่า คิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ทางบริษัทฯ ต้องแบกรับเดือนละกว่า 3.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.6 ของรายได้
กรรมการผู้จัดการ บริษัทชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด กล่าวด้วยว่า นอกจากภาระค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทางบริษัทฯ ต้องแบกรรับส่วนต่างแล้ว ในเดือนเมษายน 2555 นี้ จะต้องมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งค่าล่วงเวลาและเงินสมทบกองทุนประกันสังคมที่จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1.8 ล้านบาท และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอะไหล่สำหรับการซ่อมบำรุงที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้อีกเดือนละประมาณ 1.2 ล้านบาท ทำให้ขณะนี้บริษัทฯ ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปแล้วทั้งสิ้นเดือนละกว่า 6.4 ล้านบาท โดยที่ค่าโดยสารไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเลย
สำหรับข้อเรียกร้องของทางผู้ประกอบการนั้น นายสมชาย กล่าวว่า อยากให้ทางภาครัฐเห็นใจผู้ประกอบการและอนุมัติให้มีการปรับเพิ่มขึ้นค่าโดยสารอีกกิโลเมตรละ 0.07 บาท/คน เป็นกิโลเมตรละ 0.54 บาท/คน จากปัจจุบันที่มีการคิดค่าโดยสารตามอัตราของกรมการขนส่งทางบกอยู่ที่กิโลเมตรละ 0.47 บาท/คน ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นค่าโดยสารดังกล่าวนี้จะทำให้ค่าโดยสารเพิ่มขึ้นกิโลเมตรละไม่เกิน 10 บาท และทำให้ผู้ประกอบการสามารถให้บริการได้ตามมาตรฐาน โดยหากปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าร้อยละ 7 มองว่าอาจจะส่งผลให้การบริการต่ำกว่ามาตรฐานได้
นอกจากนี้ นายสมชาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้มีการลงทุนในการปรับปรุงรถโดยสารและงานให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากทางภาครัฐยังชะลอการพิจารณาปรับขึ้นค่าโดยสารต่อไป ทางบริษัทฯ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดจำนวนเที่ยวเดินรถโดยสารที่มีรายได้ต่ำกว่าต้นทุนลง
ขณะเดียวกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง ยอมรับว่าบริษัทฯ อาจจะไม่สามารถจัดจ้างรถโดยสารท่องเที่ยวมาเป็นรถเสริมในช่วงเทศกาลดังกล่าวได้ เนื่องจากผู้ให้บริการรถโดยสารท่องเที่ยวได้ปรับเพิ่มราคาค่าเช่าขึ้นหมดแล้ว ซึ่งไม่คุ้มค่าการลงทุนเพราะค่าโดยสารไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น โดยคงต้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นผู้เข้ามาดำเนินการจัดหารถโดยสารเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในช่วงดังกล่าวเอง