บุรีรัมย์ - คณะทำงานติดตามกำกับดูแลการรับจำนำระดับอำเภอ ที่ จ.บุรีรัมย์ เรียกสอบเกษตรกรพร้อมผู้แทน และ จนท.ที่เกี่ยวข้อง สาวหาผู้กระทำผิด หลังพบความผิดปกติในโครงการรับจำนำข้าว จนถูก ธ.ก.ส.ระงับจ่ายเงิน 575 ราย เป็นเงินกว่า 84 ล้าน
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (13 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะทำงานติดตามกำกับดูแลการรับจำนำข้าว ระดับอำเภอ ที่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ได้เรียกเกษตรกรที่ถูกระงับจ่ายเงิน พร้อมผู้แทนเกษตรกร และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลประจำจุดรับจำนำ เข้าให้ถ้อยคำ กรณีมีการตรวจพบความผิดปกติในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีแบบใบประทวน โดยพบว่าปริมาณข้าวที่นำเข้าร่วมโครงการมากเกินผลผลิตที่แจ้งไว้ในหนังสือรับรองการเป็นเกษตรกร จนถูก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระงับการจ่ายเงิน จำนวน 575 ราย ใน 5 อำเภอ เป็นเงินกว่า 84 ล้านบาท เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการสวมสิทธิ์ หรือทุจริตในโครงการหรือไม่
ทั้งนี้ หากการเรียกสอบเกษตรกรในครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่กระจ่างเพียงพอ ก็จะทำการเรียกเจ้าหน้าที่ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และผู้ประกอบการโรงสีที่มาเปิดจุดรับจำนำข้าวนอกพื้นที่เข้ามาสอบเพิ่มเติมเพื่อหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับกรณีความผิดปกติในการรับจำนำ
“ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีการทุจริตหรือไม่ เพราะยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม หากผลการสอบพบว่า มีการสวมสิทธิ์ หรือกระทำทุจริตในโครงการจริงก็จะต้องดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป”
ด้าน นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอหนองกี่ ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามกำกับดูแลการรับจำนำระดับอำเภอ กล่าวว่า ความปกติดังกล่าวเกิดจากมีเกษตรกรรายหนึ่ง ได้นำข้าวมาจำนำ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2554 จำนวน 1,384 กิโลกรัม ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2555 จำนวน 4,215 กิโลกรัม และครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2555 จำนวน 23,423 กิโลกรัม
ครั้งแรกกับครั้งที่สอง ได้นำใบประทวนไปขึ้นเงินกับ ธ.ก.ส.เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อนำใบประทวนจำนำข้าว ครั้งที่สามไปขึ้นเงินกับ ธ.ก.ส.ปรากฏว่า ได้ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจากเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.เนื่องจากปริมาณข้าวมีจำนวนมากเกินกว่าที่เกษตรกรแจ้งไว้กับ ธ.ก.ส.และพื้นที่ปลูกข้าวจริงของเกษตรกร แต่ทำไมจึงมีปริมาณข้าวเพิ่มขึ้นมากกว่าความเป็นจริง
อีกทั้งเกษตรกรรายดังกล่าว ยังบอกว่า ไม่ได้เป็นผู้นำข้าวครั้งที่สาม มาจำนำแต่อย่างใด จึงเป็นที่น่าสงสัยว่ามีความผิดปกติ น่าจะมีการสวมสิทธิ์เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวครั้งนี้หรือไม่ จึงต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการระดับอำเภอขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายชาคร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกว่าได้ว่ามีการสวมสิทธิ์ และทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่ แต่หลังจากที่มีการเรียกสอบเกษตรกร ผู้แทนเกษตรกร และเจ้าหน้าที่ดูแลประจำจุดรับจำนำข้าวแล้วยังไม่ได้ข้อมูลที่กระจ่าง ก็จะมีการเรียกเจ้าหน้าที่ อคส.และผู้ประกอบการโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ เข้ามาสอบเพิ่มเติมถึงความผิดปกติในการรับจำนำที่เกิดขึ้น คาดว่า แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์
จากนั้นก็จะรายงานผลการสอบให้คณะอนุกรรมการระดับจังหวัดทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนเกษตรกรที่ถูกระงับการจ่ายเงินนั้น ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และ ธ.ก.ส.ส่วนกลางว่าจะสามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้เมื่อไร
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (13 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะทำงานติดตามกำกับดูแลการรับจำนำข้าว ระดับอำเภอ ที่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ได้เรียกเกษตรกรที่ถูกระงับจ่ายเงิน พร้อมผู้แทนเกษตรกร และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลประจำจุดรับจำนำ เข้าให้ถ้อยคำ กรณีมีการตรวจพบความผิดปกติในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีแบบใบประทวน โดยพบว่าปริมาณข้าวที่นำเข้าร่วมโครงการมากเกินผลผลิตที่แจ้งไว้ในหนังสือรับรองการเป็นเกษตรกร จนถูก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระงับการจ่ายเงิน จำนวน 575 ราย ใน 5 อำเภอ เป็นเงินกว่า 84 ล้านบาท เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการสวมสิทธิ์ หรือทุจริตในโครงการหรือไม่
ทั้งนี้ หากการเรียกสอบเกษตรกรในครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่กระจ่างเพียงพอ ก็จะทำการเรียกเจ้าหน้าที่ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และผู้ประกอบการโรงสีที่มาเปิดจุดรับจำนำข้าวนอกพื้นที่เข้ามาสอบเพิ่มเติมเพื่อหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับกรณีความผิดปกติในการรับจำนำ
“ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่ามีการทุจริตหรือไม่ เพราะยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม หากผลการสอบพบว่า มีการสวมสิทธิ์ หรือกระทำทุจริตในโครงการจริงก็จะต้องดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป”
ด้าน นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอหนองกี่ ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามกำกับดูแลการรับจำนำระดับอำเภอ กล่าวว่า ความปกติดังกล่าวเกิดจากมีเกษตรกรรายหนึ่ง ได้นำข้าวมาจำนำ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2554 จำนวน 1,384 กิโลกรัม ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2555 จำนวน 4,215 กิโลกรัม และครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2555 จำนวน 23,423 กิโลกรัม
ครั้งแรกกับครั้งที่สอง ได้นำใบประทวนไปขึ้นเงินกับ ธ.ก.ส.เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อนำใบประทวนจำนำข้าว ครั้งที่สามไปขึ้นเงินกับ ธ.ก.ส.ปรากฏว่า ได้ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจากเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.เนื่องจากปริมาณข้าวมีจำนวนมากเกินกว่าที่เกษตรกรแจ้งไว้กับ ธ.ก.ส.และพื้นที่ปลูกข้าวจริงของเกษตรกร แต่ทำไมจึงมีปริมาณข้าวเพิ่มขึ้นมากกว่าความเป็นจริง
อีกทั้งเกษตรกรรายดังกล่าว ยังบอกว่า ไม่ได้เป็นผู้นำข้าวครั้งที่สาม มาจำนำแต่อย่างใด จึงเป็นที่น่าสงสัยว่ามีความผิดปกติ น่าจะมีการสวมสิทธิ์เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวครั้งนี้หรือไม่ จึงต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการระดับอำเภอขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายชาคร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกว่าได้ว่ามีการสวมสิทธิ์ และทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่ แต่หลังจากที่มีการเรียกสอบเกษตรกร ผู้แทนเกษตรกร และเจ้าหน้าที่ดูแลประจำจุดรับจำนำข้าวแล้วยังไม่ได้ข้อมูลที่กระจ่าง ก็จะมีการเรียกเจ้าหน้าที่ อคส.และผู้ประกอบการโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ เข้ามาสอบเพิ่มเติมถึงความผิดปกติในการรับจำนำที่เกิดขึ้น คาดว่า แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์
จากนั้นก็จะรายงานผลการสอบให้คณะอนุกรรมการระดับจังหวัดทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนเกษตรกรที่ถูกระงับการจ่ายเงินนั้น ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และ ธ.ก.ส.ส่วนกลางว่าจะสามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้เมื่อไร