xs
xsm
sm
md
lg

“หมอเณร” ฟ้อง 5 พันล้าน สธ.-กรมแพทย์แผนไทยฯ ฐานละเลยต่อหน้าที่-ยื้อออกใบประกอบโรคศิลป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชัยรัตน์ นนทชัย หมอสมุนไพรชื่อดัง อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 10 ถนนอู่ทอง-บ่อพลอยตรอก ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี
กาญจนบุรี - “หมอเณร” หมอสมุนไพรเมืองกาญจนบุรี ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางเรียกค่าเสียหาย 5 พันล้านบาทจากกระทรวงสาธารณสุข และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ฐานละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร จนทำให้ตนและประเทศชาติได้รับความเสียหายและเสียโอกาสในการประกอบอาชีพ หลังเป็นแพทย์สมุนไพรมากว่า 30 ปี แต่กลับไม่ยอมออกหนังสือรับรองการเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและมิได้มีการรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้ แม้จะยื่นไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยง

วันนี้ (8 มี.ค.) นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือ “หมอเณร” อาชีพแพทย์แผนไทย หมอสมุนไพรชื่อดัง อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 10 ถนนอู่ทอง-บ่อพลอยตรอก ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ตนได้ใช้วิชาการแพทย์สมุนไพรไทยรักษาผู้ป่วยมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีแล้ว แต่ทางกระทรวงสาธารณสุข และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ก็ยังมิได้ออกหนังสือรับรองการเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและมิได้มีการรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้แก่ตน จนทำให้ตนเสียโอกาส และได้รับความเสียหายอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ ตนจึงได้มอบหมายให้ทนายยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่อกระทรวงสาธารณสุขและกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นจำนวน 5,000,000,000 บาท หลังจากที่ทำให้ตนได้รับความเสียหายและต้องเสียโอกาสในการประกอบอาชีพ

“เนื่องจากที่ผ่านมาทางกระทรวงสาธารณสุขและกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ละเลยต่อหน้าที่โดยมิได้ออกหนังสือรับรองการเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและมิได้มีการรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้ แม้ผมจะยื่นเรื่องไปแล้วหลายครั้ง แต่จนถึงขณะที่ทั้ง 2 หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ยังมิได้ดำเนินการใดๆ ให้ จนทำให้ผมได้รับความเสียหายและที่สำคัญยังทำให้ประเทศชาติต้องเสียประโยชน์เป็นจำนวนมหาศาลไปด้วย ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องยื่นฟ้องต่อทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าว โดยได้มอบอํานาจให้นายณรงค์ อาษา เป็นทนายดําเนินคดีแทนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด” นายชัยรัตน์ กล่าว

ด้าน นายณรงค์ อาษา ทนายความ เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ได้รับมอบอํานาจจากนายชัยรัตน์ นนทชัย ให้ดําเนินคดีแทนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางมาแล้ว เป็นคดีหมายเลขดําที่ 317/2555 โดยผู้ฟ้องคดีมีความประสงค์ขอฟ้องกระทรวงสาธารณสุขที่ 1 และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ 2 โดยผู้ฟ้องคดีขอให้พิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กระทําการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคแรก (2), (3) และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดําเนินการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้แก่ผู้ฟ้องคดี พร้อมกับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 5,000,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากยอดเงินดังกล่าว

เปิดคำฟ้องเรียก 5 พันล้านพร้อมดอกเบี้ย

คดีหมายเลขดําที่ 317/2555 คําฟ้องศาลปกครองกลางวันที่ 1 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2555 ข้าพเจ้านายชัยรัตน์ นนทชัย ผู้ฟ้องคดี เกิดวันที่ 2 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2502 อายุ 53 ปี อาชีพแพทย์แผนไทยอยู่ที่ 36 หมู่ที่ 10 ถนนอู่ทอง-บ่อพลอยตรอก ตําบลสระลงเรือ อําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี มีความประสงค์ขอฟ้องกระทรวงสาธารณสุขที่ 1 และกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดีอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข หมู่ที่-ถนน (1), (2) ติวานนท์ตรอก/ซอย-ตําบล/แขวง (1), (2) ตลาดขวัญอําเภอ/เขต (1), (2) เมืองจังหวัด (1), (2) นนทบุรีรหัส ไปรษณีย์ (1), (2) 11000

รายละเอียดของการกระทํา ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เกียวกับการกระทําที่เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายที่พอเข้าใจได้

ข้อ 1.ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีอํานาจและหน้าที่ในการแต่งตั้งและอนุญาต

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้มีอํานาจและหน้าที่ในการพิจารณาออก หนังสือรับรองการเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทย

ข้อ 2.ในการดําเนินคดีของผู้ฟ้องคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีได้มอบอํานาจให้นายณรงค์ อาษา เป็นผู้รับมอบอํานาจให้ดําเนินคดีแทนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือมอบอํานาจผู้ฟ้องคดี เอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 1

ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีคุณสมบัติและเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทย รายละเอียดปรากฏตาม ประกาศคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการแพทย์แผนไทยฉบับที่ 1 (พ.ศ.2547) เอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 2 ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และความชํานาญด้านสมุนไพรเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่างๆ และได้ใช้วิชาการแพทย์สมุนไพรไทยรักษาผู้ป่วยมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีแล้ว โดยได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมายทั้งภายในประเทศไทยและในต่างประเทศ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพแพทย์แผนไทย รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือแต่งตั้งให้เป็นทีปรึกษาสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที 15 กันยายน พ.ศ.2548 สําเนาหนังสือประกาศเกียรติคุณที่ออกโดยสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย สําเนาหนังสือตังกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพแพทย์แผนไทย ฉบับลงวันที 29 ธันวาคม พ.ศ.2554 และสําเนาใบประกาศนียบัตรที่ออกโดย สถาบันอเมริกันชีวประวัติ (The AmericanBiographicalInstitute) เอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 3 ถึง 6 ตามลําดับ

ผู้ฟ้องคดีได้ใช้ตํารับยาสมุนไพรทําการรักษาผู้ป่วยหลากหลายโรค ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บป่วยทัวไปหรือจะเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ส่วนผลการรักษาโรค ปรากฏว่า ผู้ป่วยจํานวนมากที่ได้รับการรักษาจากผู้ฟ้องคดีจะมีอาการดีขึ้นมากหรือบางรายก็หายขาดจากอาการเจ็บป่วย และตํารับยาสมุนไพรไทยที่นํามารักษาผู้ป่วยนันก็ไม่มีผลข้างเคียงแก่ผู้ป่วยอย่างหนึ่งแต่อย่างใดเลย ซึ่งมีผลเป็นทีน่าพอใจของผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก จึงทําให้ผู้ฟ้องคดีเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของบุคคลทัวไป และมีสื่อมวลชนมาสอบถามและสัมภาษณ์ทําข่าวเกียวกับการใช้ตํารับยาสมุนไพรไทยที่ใช้รักษาผู้ป่วยของผู้ฟ้องคดีหลายครั้ง รายละเอียดปรากฎตามหนังสือแสดงผลงานการรักษาและรายงานข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 และ 8

สูตรตํารับยาสมุนไพรไทยของผู้ฟ้องคดีได้รับการยอมรับจากนักวิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์หลายท่าน เนื่องจากสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้มีโครงการพัฒนาสารต้านมะเร็งและเชือเอชไอวี และได้มีหนังสือถึงผู้ฟ้องคดีให้เข้าร่วมสัมมนาผลการวิจัยด้วย รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือขอเชิญร่วมสัมมนาผลการวิจัย ฉบับลงวันที 7 สิงหาคม 2546 และสําเนาหนังสือสรุปผลการสัมมนา "โครงการพัฒนาสารต้านมะเร็งและเชือเอชไอวี จากพืชสมุนไพรในป่าเขตร้อน" เอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 9 และ 10

ผู้ฟ้องคดีเคยได้มีหนังสือส่งถึงประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ขอให้พิจารณาสนับสนุนการรักษาพยาบาลโดยใช้ตํารับยาสมุนไพรไทย และคณะกรรมาธิการก็ได้มีหนังสือเรื่องแจ้งผลการพิจารณามายังผู้ฟ้องคดี ว่าคณะกรรมาธิการได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อสนับสนุนและผลักดันให้ได้รับการรับรองจากส่วนราชการว่า เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทยเพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย รายละเอียดปรากฎตามสําเนาหนังสือเรืองขอให้พิจารณาด้านยาสมุนไพรไทยฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2552 และสําเนาหนังสือเรืองแจ้งผลการพิจารณาฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2553 เอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 11 และ 12

ข้อ 3.เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2552 ผู้ฟ้องคดีได้ดําเนินการยื่นหนังสือขอส่งผลงานและประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทย ไปยังสํานักงานสาธารณสุขอําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี หน่วยงานราชการที่ทํางานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสิทธิ์และอํานาจหน้าที่เสนอชื่อบุคคลเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทยไปยังกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเพื่อทําการตรวจสอบการเสนอชื่อและให้อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกพิจารณาและออกหนังสือรับรองว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นที่บ้านไทยเพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะพ.ศ.2542 มาตรา 33 (1) (ค) รายละเอียดปรากฏตามสําเนาพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 และสําเนาบันทึกข้อความของสํานักงานสาธารณสุขอําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2552 สําเนาหนังสือแสดงประวัติ ผลงานและประสบการณ์ของผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทยเอกสารท้ายคําฟ้องหมายเลข 13 และ 14

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ผู้ถูกฟ้องคดี ได้รับหนังสือเรืองการประเมินหมอพื้นบ้านจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ว่าได้มีการปรับกระบวนการประเมิน และขอให้ผู้ฟ้องคดีไปติดต่อ ณ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี และต่อมาในวันที่ 9 มิถุนายน 2554 สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีหนังสือเรืองการประเมินหมอพื้นบ้านเพือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีไปติดต่อทีสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ฟ้องคดี จึงได้ไปทําการติดต่อเจ้าหน้าที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ 19 กันยายน 2554 และได้นําเอกสารไปยื่นต่อสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี เพิ่มเติมด้วย รายละเอียดปรากฏตามสําเนาหนังสือเรื่องการประเมินหมอพื้นบ้านของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ฉบับลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 และสําเนาหนังสือเรืองการประเมินหมอพื้นบ้าน ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2554 เอกสาร ท้ายคําฟ้องหมายเลข 15 และ 16 ตามลําดับ

ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวข้างต้นนับตั้งแต่ผู้ฟ้องคดี ได้ดําเนินการยื่นหนังสือขอส่งผลงานและประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทย ไปยังสํานักงานสาธารณสุขอําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี และต่อเนื่องมาถึงวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีหนังสือเรื่องการประเมินหมอพื้นบ้าน ฉบับลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 (ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 15) นั้นเป็นเพียงการแจ้งเรืองปรับกระบวนการประเมินเพื่อให้ผู้ฟ้องคดียื่นเอกสารเพิ่มเติมตามกระบวนการประเมินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เท่านั้น อีกทั้ง ผู้ฟ้องคดีก็ได้ดําเนินการครบถ้วนแล้วตามกระบวนการประเมินตามที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มีหนังสือเรืองการประเมินหมอพื้นบ้านฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2554 (ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 16) มาจนถึงปัจจุบันนีใช้ระยะเวลานานกว่า 2 ปีแล้ว ผู้ฟ้องคดียังมิได้รับการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะหรือหนังสือชี้แจงใดๆ เกียวกับการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะจากทางผู้ถูกฟ้องที่ 2 เลย จึงถือได้ว่าการกระทําของผู้ถูกฟ้องที่ 2 เป็นการ ละเลยต่อหน้าทีตามทีกฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร จึงเป็นเหตุที่ทําให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย โดยมิอาจหลีกเลียงได้ อันเกิดจากการกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองที่ละเลยต่อหน้าทีตามกฎหมายในการพิจารณาออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยกล่าวคือ

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 สามารถดําเนินการให้เสร็จในระยะเวลาตามสมควรนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้ยืนหนังสือขอส่งผลงานและประสบการณ์ด้านการแพทย์พื้นบ้านไทยไปยังสํานักงานสาธารณสุขอําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี และ/หรือวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้ไปยื่นเอกสารเพิ่มเติมที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี แต่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ได้ดําเนินการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะหรือหนังสือชี้แจงใดๆ เกี่ยวกับการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะมายังผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายดังนี้การที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมิได้ออกหนังสือรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและมิได้มีการรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้แก่ผู้ฟ้องคดี ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ประกาศคณะกรรมการวิชาชีพ สาขาการแพทย์แผนไทยกําหนด เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถนําสูตรตํารับยาที่ผู้ฟ้องคดีค้นพบขึ้นออกเผยแพร่แก่สาธารณะชนได้อย่างถูกต้อง ซึ่งผู้ฟ้องคดีขอชี้แจงว่าสูตรตํารับยาของผู้ฟ้องคดีสามารถนํามารักษาผู้ป่วยได้จริงและไม่มีผลข้างเคียงกับผู้ป่วย เป็นสูตรตํารับยาที่สามารถสร้างภูมิให้แก่ร่ายกาย นํามาใช้รักษาผู้ป่วยได้จริงและไม่มีผลข้างเคียงกับผู้ป่วย

โดยสูตรตํารับยาสร้างภูมิของผู้ฟ้องคดีนั้น เป็นตัวยาสร้างภูมิต้านทานที่มาของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคไต และโรคอื่นๆ ดังตัวอย่างจากการที่ผู้ฟ้องคดีทําการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน หัวใจ และไตวาย มีอัตราเฉลี่ยของผู้รักษาหายถึงร้อยละ 70 และสูตรตํารับยาของผู้ฟ้องคดียังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ และยังสามารถรักษาโรคอื่นๆ ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งโรคต่อมนําเหลืองอักเสบภูมิแพ้ ฯลฯ ซึงสามารถตรวจสอบได้จากรายละเอียดปรากฏตามหนังสือแสดงผลงานการรักษา เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 โดยผู้ป่วยส่วนมากได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลมาแล้วแต่อาการไม่ดีขึ่นจนได้มาทําการรักษากับผู้ฟ้องคดีประกอบกับค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรไทยของผู้ฟ้องคดี

สําหรับสูตรตํารับยาสมุนไพรและผลการรักษาของผู้ฟ้องคดีได้รับการยอมรับจากคณะกรรมมาธิการว่าสมควรได้รับการสนับสนุนและผลักดันให้ได้รับการรับรองจากส่วนราชการ เนื่องจากคณะกรรมาธิการได้มีการส่งคณะตรวจสอบเข้ามาทําการตรวจสอบการรักษาของผู้ฟ้องคดีแล้วว่าสามารถรักษาได้จริงสมควรได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก และหากผู้ฟ้องคดีได้รับหนังสือรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สูตรตํารับยาสมุนไพรของผู้ฟ้องคดีก็จะได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผู้ฟ้องคดีก็จะสามารถนําสูตรตํารับยาไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ นํายาออกเผยแพร่ให้แก่ประชาชนได้รับการรักษาเพิ่มมากขึ้นเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปได้มากขึ้นสมุนไพรไทยก็จะเป็นที่ยอมรับมากขึ้นสามารถลดการนําเข้ายาจากต่างประเทศได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท และผู้ฟ้องคดีก็จะสามารถนําสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยไปทําธุรกิจกับต่างประเทศได้อีกหลายประเทศ เนื่องจากเคยมีตัวแทนจากต่างประเทศเข้ามาทําการติดต่อขอซื้อตํารับยาสมุนไพรไทยจากผู้ฟ้องคดี ทําให้ผู้ฟ้องคดีต้องเสียโอกาสในการค้าขายกับชาวต่างชาติหรือต่างประเทศนั้นไป เพราะผู้ฟ้องคดีมิได้รับหนังสือรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและมิได้มีการรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยจากผู้ถูกฟ้องคดีที 2 โดยเฉพาะสูตรตํารับยารักษาโรคอัลไซเมอร์ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีเสียหายและต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออกยาสมุนไพรไทยไปยังต่างประเทศเป็นจํานวนหลายร้อยหลายพันล้านบาท

อีกทั้งจากความเสียหายที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หากสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยของผู้ฟ้องคดีได้รับการเผยแพร่และได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยของผู้ฟ้องคดีนี้จะมีประโยชน์มากแก่ประเทศไทย เพราะว่านอกจากจะเป็นประโยชน์สําหรับตัวผู้ป่วยเองแล้ว ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนที่ทําการเกษตรได้ผลประโยชน์อีกทางหนึ่งด้วย

ข้อ 4. การกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นกรณีที่หน่วยงานของรัฐ ข้าราชการพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐกระทําการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าทีดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคแรก (2),(3)

นอกจากนั้น จากการกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีที 2 ยังเป็นการกระทําหรือการงดเว้นการกระทําของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย ตามพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ.2542 มาตรา 42

ศาลปกครองย่อมมีอํานาจพิจารณาและพิพากษาว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฎิบัติ หรือปฎิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคแรก ( 2 ) และ ( 3 ) และเป็นการกระทําหรืองดเว้นการกระทําโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้ สําหรับการกระทํานันหรือโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรม ศาลย่อมมีอํานาจพิจารณาและพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องที 2 ต้องรับผิดชอบ ดําเนินการเยียวยาแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดีและมีคําบังคับตามมาตรา 72 วรรคแรก (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542ได้โดยการออกคําบังคับคําสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดําเนินการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้แก่ผู้ฟ้องคดี

การกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีนอกจากเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฎิบัติหรือปฎิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 วรรคแรก ( 2 ) และ ( 3 ) ข้างต้นแล้ว ยังเป็นการทําให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการกระทําหรือการงดเว้นการกระทําของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าทีของรัฐ ตามพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 42 ผู้ถูกฟ้องคดีจึงขอเรียกค่าเสียหารจากการกระทําหรือการงดเว้นการกระทําดังกล่าวเป็นเงินรวมทั้งสิ้นจํานวน 5,000,000,000 บาท (ห้าพันล้านบาทถ้วน)

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ด้วยผู้ฟ้องคดีจึงต้องนําคดีมาฟ้องศาลปกครองกลางเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งอาศัยเหตุดังประทานกราบเรียนมาแล้วขอศาลปกครองกลางได้โปรดพิจารณาและพิพากษาบังคับผู้ถูกฟ้องคดีทังสองต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คําขอของผู้ฟ้องคดี (ระบุวัตถุประสงค์หรือความต้องการของผู้ฟ้องคดี)

1.ขอให้พิพากษาว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กระทําการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคแรก (2),(3)

2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดําเนินการออกใบรับรองเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะและรับรองสูตรตํารับยาสมุนไพรไทยให้แก่ผู้ฟ้องคดี

3.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ร่วมกันและ/หรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นเงินจํานวนรวมทั้งสิ้นจํานวน 5,000,000,000 บาท (ห้าพันล้านบาทถ้วน) พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากยอดเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะร่วมกันและ/หรือแทนกันชําระเสร็จสินแก่ผู้ฟ้องคดี

(ลงชื่อ)............................................................ผู้ฟ้องคดี
(นายชัยรัตน์ นนทชัย)
กำลังโหลดความคิดเห็น