ชัยภูมิ - เครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ คัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมขับเคลื่อนเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมในสังคม รักษาไว้ซึ่งหลักการคุ้มครองและปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยให้ยั่งยืนตลอดไป
วันนี้ (27 ม.ค.) ที่จังหวัดชัยภูมิ นายนพสณฑ์ เสฏฐรังสี และ นายปัญญา ทะนารี แกนนำเครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง พร้อมด้วยเครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง กว่า 300 คน รวมพลังเดินรณรงค์รอบเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ และมารวมตัวกัน ที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแล เพื่ออ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการแสดงพลังต่อต้าน “คณะนิติราษฎร์” ที่ได้มีการเปิดตัวคณะกรรมการรณรงค์การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยมีเป้าหมายล่าชื่อปกระชาชนให้มาร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
เนื้อหาในแถลงการณ์สรุปได้ว่า สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการค้าเสรีผูกถูกนำมาใช้ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” จนก่อให้เกิด “ทุนนิยมผูกขาด” ที่เข้ามาครอบงำการเมือง ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้เกิดการผูกขาดอำนาจทางการเมือง และนำไปสู่การผูกขาดอำนาจอำนาจในสังคมไทยได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนเกิดวิกฤตการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข โดยมีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ทุนนิยมผูกขาดต้องการ
พสกนิกรชาวชัยภูมิจึงรวมตัวกันในนาม “เครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง” ขอประกาศเจตนารมณ์ที่จะสร้างความรู้และขับเคลื่อน “การคัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พุทธศักราช 2550” ดังต่อไปนี้
1.ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ ส่งผลให้เกิดความสับสนทางวิชาการ ความขัดแย้ง หรือแตกต่างทางความคิดในสังคมไทยอย่างรุนแรง หากในที่สุดข้อเสนอของนิติราษฎร์ไดรับการบัญญัติเป็นกฎหมาย ย่อมกระทบต่อจิตวิญญาณประชาชาติ อันเป็นความผูกพันระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นรากฐานการดำรงอยู่ของสังคมไทย
2.เครือข่ายชาวชัยภูมิ เห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันประมุขแห่งรัฐของระบอบการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งประเทศไทยได้ยึดถือ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็น “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” เป็นศูนย์รวม แห่ง “จิตวิญญาณประชาชาติ” มีความสำคัญที่อยู่คู่สังคมไทยและระบบการเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน มีคนณูปการอันมากมายต่อสังคมไทย มีสถานะที่สำคัญในการคุ้มครองคุณค่าของสังคมไทย และสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ได้
หลักการดังกล่าวจึงสอดคล้องกับหลักการคุ้มครอง สถาบันพระมหากษัตริย์ ตามบัญญัติไว้ในมาตรา 2 และมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญ เป็นบทบัญญัติที่สะท้อนถึงการรักษาไว้ซึ่ง “จิตวิญาณประชาชาติ” เช่นเดียวกับมาตรา 112 ดังนั้น การคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ องค์ราชินี องค์รัชทายาท การคุ้มครองทุกพระองค์จึงเป็นการคุ้มครอง “สถาบันพระมหากษัตริย์”
ดังนั้น การยกเลิกบทบัญญัติมาตรา 112 และแยกบทบัญญัตินี้ออกจากความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งแยกการคุ้มครองทุกพระองค์ออกจากการคุ้มครอง “สถาบันประมุขแห่งรัฐ” มีการกำหนดบทลงโทษให้ต่ำกว่าประมุขของรัฐต่างประเทศและผู้แทนรัฐต่างประเทศ ตามมาตรา 133 และมาตรา 134 เจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 136 และผู้พิพากษาหรือตุลาการมาตรา 198 จึงเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และไม่เคารพต่อคุณค่าทางจิตใจ ของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ
3.เครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง เห็นว่า มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญามิใช่ตัวปัญหา หากแต่ปัญหามาจากผลของการบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรม
4.เครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง เห็นว่า “สิทธิเสรีภาพ” มีข้อจำกัดความขอบเขตของการใช้ สิทธิเสรีภาพ ไม่ได้เกิดจากการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้น เครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง จึงขอประกาศจุดยืน ขอคัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550 สนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมือง นายทุน และลัทธิ “ประชานิยม” และขจัดวิกฤตเสรีภาพ ที่มีการใช้สิทธิและเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู้สังคมอนาธิปไตย ขจัดวิกฤตความคิดและความเชื่อลัทธิอำนาจทุนนิยมสามานย์ เพื่อขจัดแนวคิดการก่อตั้ง “รัฐไทยใหม่” ขจัดวิกฤตศีลธรรมและจริยธรรม ที่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจและการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ
และพร้อมขับเคลื่อนเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมในสังคม อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งหลักการคุ้มครองและปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ อันจะยังประโยชน์สุขและเป็นที่ยึดมั่นในจิตวิญาณของพสกนิกรชาวไทยให้ยั่งยืนตลอดไป
ด้วยจิตคารวะ “เครือข่ายชาวชัยภูมิรักในหลวง” 27 มกราคม 2555