เชียงราย - กรรมาธิการการเงินฯ ยกคณะขึ้นเหนือ ติดตามผลกระทบเหตุปล้น-ฆ่าลูกเรือจีนตายยกลำกลางน้ำโขง ประเมินเบื้องต้นทำการค้า-การลงทุน ชะลอยาวกว่า 2 ปีแน่ แม้วันนี้ สป.จีน จะปล่อยเรือลงอีกรอบ แต่บรรยากาศไม่เอื้อ ชี้ไม่มีที่ไหนในโลกที่ใช้กองเรือติดอาวุธคุ้มกัน ขณะที่ตัวแทนรัฐ-เอกชน เสนอดันถนนไทย-ลาว-จีน รับแทน พร้อมตัดงบเกินดุลช่วยงานคุ้มกันเรือจีน
รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ได้นำคณะเดินทางไปรับทราบข้อมูลด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อชายแดนด้าน จ.เชียงราย ต่อกรณีการปล้น-ฆ่า ลูกเรือสินค้าจีน 2 ลำ เสียชีวิตรวม 13 ศพ ที่ห้องประชุมที่ว่าการ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อสุดสัปดาห์นี้ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจ้งสถานการณ์และการดำเนินการต่างๆ
พ.ต.อ.ภพกร คูณเจริญสุข ผกก.สภ.เชียงแสน ได้สรุปสถานการณ์ปล้นฆ่าลูกเรือจีน ว่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการปล้นเรือนอกราชอาณาจักรไทย และเรือได้ถูกควบคุมเข้ามาริมฝั่งหมู่บ้านสบรวก ก่อนเกิดเสียงปืนดังขึ้น เมื่อขึ้นไปตรวจเรือพบผู้เสียชีวิต 1 คน จากนั้นค่อยๆ ทยอยพบผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ลอยมาติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาได้มีการดำเนินคดีกับทหาร 9 นาย ปัจจุบันได้สอบปากคำพยานไปแล้วกว่า 100 ปาก ขณะนี้เรื่องอยู่ในการดูแลของอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงคือไทย สปป.ลาว พม่า จีน ได้ตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) ขึ้นมาดูแลกองเรือสินค้าที่เดินทางไปมา
แต่กรณีในเขตน่านน้ำ หรือเข้าฝั่งไทย ทางจีนจะไม่ส่งกำลังเข้ามา โดยจะส่งมอบให้ทาง ศปปข.ส่วนหน้าของไทยดูแล
นายประธาน อินทรียงค์ ที่ปรึกษาหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ชายแดนเชียงราย มีการลงทุนเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนหลายอย่าง เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ฯลฯ ขณะที่จีนก็ขยายการค้าการลงทุนลงมา ทำให้แม้แต่กลุ่มทุนญี่ปุ่นก็สนใจจะเข้าไปลงทุนในกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะลอจิสติกส์ แต่เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้ทำให้การลงทุนอาจต้องชะลอไปกว่า 2 ปี แต่เชื่อว่าในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น ดังนั้นช่วงฟื้นตัวขอเสนอให้มีการพัฒนาด้านอื่นๆ เพื่อรองรับอนาคต ทั้งระบบการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศให้เป็นสากล เพราะปัจจุบันยังไม่มีระบบธนาคารที่มาตรฐาน
ด้านนายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า การค้าชายแดนเชียงราย เป็นการค้ากับจีนตอนใต้กว่า 22% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วง 2-3 ปีก่อนที่อยู่ในอัตรา 10% กว่าเท่าตัว และหากแยกเป็นรายด่านพบว่า เป็นการค้าที่เกิดขึ้นด้าน อ.เชียงแสน กว่า 70% และที่เชียงของผ่านถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ จำนวน 30% โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามูลค่าการค้าทั้งหมดเป็นการส่งออกสินค้าของไทยที่ท่าเรือ อ.เชียงแสน เสียกว่า 96% และมีการส่งออกที่เชียงของน้อยกว่ามาก ทำให้ที่เชียงแสนมีการค้ากันวันละเฉลี่ยกว่า 500 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกเฉลี่ยวันละกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามหาศาล
ผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงได้ทำให้มูลค่าการค้าลดฮวบลงกว่า 50-60% เพราะยังมีการบรรทุกทางเรือสินค้าลาว แต่ระวางบรรทุกน้อยกว่ามากแค่ 150 ตัน ส่วนเรือจีนมีระวางบรรทุกกว่า 250-300 ตัน และเกรงว่าจะกระทบยาวไปจนถึงเดือน พ.ค.55 เพราะตามปกติน้ำโขงจะแห้งจนไม่สามารถเดินเรือสินค้าได้ในช่วงฤดูแล้งด้วย
นายเฉลิมพล กล่าวว่า ดังนั้น จึงควรหันมาผลักดันพัฒนาถนน R3A เพื่อพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาส รองรับกรณีเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมาอีกในอนาคต เพราะจากมูลค่าการส่งออกของไทยที่ อ.เชียงของ พบว่ามีอัตราแค่ 4% ของการส่งออกไปจีนทั้งหมด สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะรถบรรทุกไทย ไปได้แค่ชายแดนลาว-จีน ที่เมืองบ่อเต็น-บ่อหาน ไม่สามารถเข้าไปในจีนได้ และความชำนาญในการขนส่งอาจจะไม่เท่ารถบรรทุกของจีนที่เหมาะสมกับเส้นทางคดเคี้ยวตามไหล่เขาของถนน R3A และเชื่อว่าเมื่อสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับ สปป.ลาว แล้วเสร็จในปี 2556 จะทำให้การขนส่งด้าน R3A คึกคักอย่างมาก จึงควรจะเตรียมการในช่วงนี้ไว้เพื่อรองรับด้วย โดยเฉพาะกรณีข้อตกลงขนส่งรถบรรทุกประเทศละ 500 ลำ ที่เงียบหายไป และตนยังไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนไหนด้วย
"อย่างไรก็ตามกรณีเรือสินค้าแม่น้ำโขงนั้นผมเห็นว่าจีนอย่างไรเสียก็มีพลเมืองกว่า 1,300 คน และมีที่ราบเพื่อเพาะปลูกแค่ 20% การขนส่งเสบียงอาหารต้องกระจายไปทั่ว ซึ่งถ้าลงใต้ก็ต้องผ่านประเทศไทยโดย จ.เชียงราย เขาจึงจะต้องรักษาเส้นทางนี้เอาไว้ ดังนั้น จึงควรหันไปผลักดันเรื่อง R3A ให้มาก เพราะปัจจุบันจีนส่งสินค้าลงมากว่า 1,900 ล้านบาท แต่ไทยส่งขึ้นไปบนถนนสายเดียวกันแค่ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น" นายเฉลิมพล กล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่าทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงโดยตำรวจน้ำ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าปัจจุบันประเทศจีน ได้มอบเรือเพื่อการคุ้มกันเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงให้พม่า 1 ลำ และ สปป.ลาว 1 ลำ ส่วนของจีน มีเรืออาวุธและกองกำลัง เป็นเรือใหญ่ 3-5 ลำ และเรือเล็ก 8 ลำ ซึ่งถือว่าทางการจีนเตรียมพร้อม และทุ่มทุนในเรื่องนี้มาก
ขณะที่ทางประเทศไทยหลังจากตั้ง ศปปข.ส่วนหน้าแล้วเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ เช่น ตำรวจน้ำ มีเรือดีเซล 2 ลำ เบนซิน 2 ลำ ต้องเสียค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเที่ยวจากท่าเรือไปสามเหลี่ยมทองคำไปกลับ 360 ลิตร ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ลาดตระเวนตามกำหนดเวลาและความจำเป็น แต่ปัจจุบันต้องคุ้มกันคาราวานเรือสินค้าจีนเป็นประจำตามข้อตกลง ซึ่งเรือจีนจะเดินทางไปเป็นกลุ่มๆ ละ 3-5 ลำก่อนที่เจ้าหน้าที่ไทยจะส่งมอบให้กองกำลังของจีนคุ้มกันต่อเมื่อถึงบริเวณเหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไป เมื่อมองจากปริมาณเรือที่มีกว่า 100 ลำของกองเรือสินค้าจีนถือว่าเป็นงานหนักและสิ้นเปลืองด้านงบประมาณดำเนินการอย่างมาก
ขณะที่ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นแม่งานก็เบิกจ่ายงบประมาณด้านการคุ้มกันดูแลของเจ้าหน้าที่ไทยล่าช้า จึงเสนอให้มีการนำงบประมาณดุลการค้าที่เป็นบวกอย่างมากมายจากการค้าชายแดนราว 5-10% มาสนับสนุนการคุ้มกันกองเรือสินค้าดังกล่าว
นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ทางประเทศจีนยืนยันว่าเรือสินค้าที่เกิดเหตุทั้ง 2 ลำไม่ได้ขนยาเสพติดแน่นอน เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งสะสางเพื่อให้บรรยากาศการค้าดีขึ้น เพราะไม่มีที่แห่งใดในโลกที่การค้าขายมีการนำกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันกองเรือไปตลอดเส้นทางเช่นนี้ ซึ่งแม้จะปลอดภัยแต่บรรยากาศไม่เหมาะ และกรณีของแม่น้ำโขงก็เหมาะสมกับการเป็นเส้นทางท่องเที่ยวด้วย โดยที่ผ่านมาเคยมีการเดินเรือท่องเที่ยวอย่างคึกคักแต่กลับได้รับผลกระทบหนัก
ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ จะนำเสนอไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหารวมทั้งกรณีข้อเสนอต่างๆ ด้วย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกินศักยภาพของหน่วยงานในพื้นที่จะดำเนินการเองได้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินการคือบรรยากาศการค้าการลงทุนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้กองกำลังติดอาวุธคุ้มกันเช่นนี้อีก
ส่วนกรณีถนน R3A ก็จะประสานงานเพื่อดำเนินการให้เกิดการเจรจา การใช้เงื่อนไขทางการค้า ฯลฯ ให้เอื้อกับการส่งออกสินค้าของไทยให้มากขึ้น เช่นเดียวกับการผลักดันเรื่องกฎหมายการเงินเพื่อการค้าชายแดนด้านนี้ให้ได้มาตรฐานต่อไป
ด้านนายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ กรรมาธิการที่ปรึกษาฯ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ในประเทศจีนแล้ว เขาให้ความสำคัญมากและเชื่อว่าเรือสินค้าของจีนไม่ได้ขนยาเสพติด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแน่นอน ตนจึงเชื่อว่าการค้าการลงทุนจะไม่ล่าช้าไปแค่ 2 ปีแต่คงจะมากกว่านั้น และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการขนส่งสินค้ากันบ้างแล้ว แต่ก็มีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกันตลอดแนวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีที่ไหนในโลกมาก่อน แม้แต่จีนก็ถือเป็นครั้งแรกที่นำกองกำลังติดอาวุธออกนอกประเทศเช่นนี้ด้วย ตนจึงเกรงจะเกิดปัญหาในอนาคตกรณีต้องการกดดันทางการค้าและมีสินค้าไทยขนส่งขึ้นไปยังจีนหรือผลกระทบอื่นๆ อันเกิดจากการติดอาวุธที่อาจเกิดขึ้นได้
รายงานข่าวแจ้งอีกว่าการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.ที่ผ่านมามีการค้ากับจีนรวม 5,680.53 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 2,319.13 ล้านบาท และส่งออก 914.05 ล้านบาท การค้ากับ สปป.ลาว มีมูลค่ารวม 2,908.37 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 439.53 ล้านบาท และส่งออก 7,830.02 ล้านบาท การค้ากับพม่ามีมูลค่าการค้ารวม 10,189.35 ล้านบาท ส่งออก 10,201.93 ล้านบาท