ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- “โฆษก ทภ.2” เผย ไทยปรับกำลังทหารชายแดน “เขาพระวิหาร” อีกกว่า 1,000 นาย อ้างเป็นการปรับประจำปี ส่วนเขมรยังไม่ปรับเพิ่ม หลังปรับกำลังไปแล้ว 3-4 พันนาย พร้อมยืนยันยังตรึงกำลังเข้มในพื้นที่เขตปลอดทหารของศาลโลก ชี้ เปลี่ยน “ผบ.กองกำลังสุรนารี” คนใหม่ไม่กระทบต่อการรักษาอธิปไตย ขอให้ ปชช.มั่นใจเป็นคนมีความสามารถชำนาญพื้นที่เป็นอย่างดี
วันนี้ (3 ต.ค.) ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สถานการณ์โดยรวมเป็นปกติดี ทางด้านการทหารทั้ง 2 ฝ่าย สามารถไปมาหาสู่กันได้ กำลังพลยังคงปฏิบัติภารกิจในการรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดนตามปกติ และประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายก็ไปมาหาสู่ค้าขายกันตามปกติ รวมทั้งล่าสุดได้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าและเพื่อมนุษยธรรมเพิ่มเติมอีก 1 จุด ที่บริเวณช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยทดลองเปิดมาตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรูปแบบของตลาดนัด เพื่อเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ทุกวันพุธของสัปดาห์ พบว่า มีประชาชนชาวไทยกว่า 2,000 คน และ ชาวกัมพูชาอีกกว่า 1,500 คน มาแลกเปลี่ยนสินค้าและไปมาหาสู่กัน ฉะนั้น สถานการณ์ตามแนวชายแดนจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 และทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี จาก พล.อ.ชวลิต ชุนประสาน ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ ขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็น พล.ต.ชลิต เมฆมุกดา มารับหน้าที่แทนนั้น ขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน ว่า ทาง พล.ต.ชลิต ซึ่งรับราชการมาตั้งแต่ปี 2523 ปฏิบัติงานพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมาโดยตลอด และเคยทำหน้าที่ในตำแหน่งเสนาธิการกองกำลังสุนารี ดูแลงานด้านยุทธการและการข่าว จะเห็นว่า ท่านรู้จักกำลังพลและศักยภาพของกองกำลังสุรนารีเป็นอย่างดี รู้จักพื้นที่ทุกพื้นที่โดยละเอียด รู้จักพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน และข้าราชการในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้บังคับหน่วยของกองกำลังฝ่ายกัมพูชาก็รู้จักกันเป็นอย่างดีหลายคน
“ฉะนั้น ประชาชนจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ และจะทำหน้าที่ในการสานงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ที่จะทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกำลังพลของทั้ง 2 ฝ่าย” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว
ส่วนการปรับกำลังทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นั้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค.ของทุกปี จะเป็นวงรอบในการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังกันไม่ว่าพื้นที่ใด เพราะการปฏิบัติภารกิจอย่างน้อย 1 ปี ทั้งกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์จะต้องนำกลับไปฟื้นฟูและซ่อมแซม แต่ก็ต้องนำกำลังส่วนหนึ่งขึ้นมาทดแทน ฉะนั้น ในช่วงนี้จึงถือว่าอยู่ในช่วงการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังประจำปี และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เรียบร้อยดี ฉะนั้น จึงจะยังมีการปรับกำลังเพิ่มเติมอีกประมาณกว่า 1,000 นาย ในพื้นที่ดังกล่าว (ก่อนหน้านี้ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายไทยมีการปรับกำลังพลไปแล้วประมาณกว่า 2,000 นาย) แต่ขอยืนยันว่ากำลังที่ปรับเปลี่ยนไปนั้นเป็นกำลังของกองทัพภาคที่ 2 ประมาณ 80-90%
อย่างไรก็ตาม จากการข่าวยังไม่พบฝ่ายกัมพูชามีการปรับเปลี่ยนกำลังเพิ่มเติมในช่วงนี้แต่อย่างใด หลังจากก่อนหน้านี้ มีการปรับกำลังไปแล้วประมาณ 3,000-4,000 นาย ซึ่งการปรับเปลี่ยนกำลังนั้นขอยืนยันว่า พื้นที่ 4 เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งเป็นจุดที่ศาลโลกกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหารตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่กัมพูชาฟ้องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 นั้น ยังคงมีการวางกำลังทหารดูแลพื้นที่ตามปกติ ไม่มีการเคลื่อนย้าย หรือปรับกำลังใดๆ ทั้งสิ้นในจุดดังกล่าว