เชียงราย - 3 เหยื่อกระสุนโจรสลัดในเรือบรรทุกสินค้าจีน ย่องเงียบออกจากโรงพยาบาลที่เชียงแสนอย่างมีเงื่อนงำ เหลืออีก 1 คนที่บาดเจ็บสาหัสตำรวจยังคุมเข้มอยู่ที่โรงพยาบาลเชียงราย ระบุ กลุ่มคนดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าอาวุธ ที่ล่าสุดมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลบหนีเข้าเขตไทย แต่ถูกจับพร้อมอาวุธสงครามและของกลางอีกเพียบ
รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า จากกรณีมีผู้บาดเจ็บจากการถูกยิงในแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว และ พม่า ด้านสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน และหลบหนีเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลฝั่งไทยเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุด กลุ่มคนที่ถุกยิงดังกล่าว ซึ่งประกอบไปด้วย นายอาต ไม่มีนามสกุล นายตี๋ ไม่มีนามสกุล นายวันแสง ไม่มีนามสกุล ชาวไทยใหญ่ และ นายจะเออ จะซอ ชาวเขาเผ่ามูเซอ ทั้งหมดอายุประมาณ 30 ปี ได้ทยอยออกจากโรงพยาบาลไปอย่างมีเงื่อนงำ ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงชายแดนหลายฝ่ายต่างออกมาระบุว่า เหตุการณ์ถูกยิงดังกล่าวเกี่ยวข้องกับขบวนการติดอาวุธและยาเสพติดลุ่มแม่น้ำโขง โดยในการเดินทางไปเยือน จ.เชียงราย เพื่อประชุมแก้ไขปัญหายาเสพติดกับหน่วยงานต่างๆ เมื่อวันที่ 24-25 ก.ย.ที่ผ่านมา ก็ให้ความสนใจในความเคลื่อนไหวนี้เป็นกรณีพิเศษด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังจากมีการจัดการประชุมและถกประเด็นว่ากรณีถูกยิงดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธยาเสพติดลุ่มแม่น้ำโขงกลุ่มของนาย “หน่อคำ” ซึ่งอาละวาดเก็บค่าคุ้มครองเรือสินค้าและยาเสพติดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีทีผ่านมา โดยพบว่าชาย 2 คนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อ.เชียงแสน ได้ออกจากโรงพยาบาลไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งถูกยิงเข้าที่บริเวณสะโพกและถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ยังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลบริเวณหน้าห้องรักษาอย่างเข้มงวดเพราะยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดอยู่
นายเสริมศักดิ์ สีสันต์ นายอำเภอเชียงแสน กล่าวว่า กรณีของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดต้องถือว่าเขาเป็นคนต่างด้าวที่ไม่ใช่คนไทย แต่เมื่อมาขอรับการรักษาที่ฝั่งไทยก็ต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม แต่ช่วงที่รักษาแล้วเขาเกิดไม่อยู่ต่อก็คงจะเดินทางกลับไปยังประเทศของเขาตามปกติซึ่งไม่ได้หมายถึงการหลบหนีใดๆ เพราะเป็นการกลับประเทศตัวเอง
ส่วนกรณีของนายหน่อคำ ซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธในแม่น้ำโขงนั้น ต้องถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับประเทศไทยแน่นอน แต่กรณีของบุคคลที่เข้ารับการรักษาเรายังไม่อาจจะเชื่อมไปถึงกลุ่มเหล่านั้นได้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปก็คงจะกลับภูมิลำเนาเดิมของเขาไปแล้ว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เหตุปะทะกันในแม่น้ำโขงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20-21 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยตามคำกล่าวอ้างของกลุ่มคนที่ถูกยิงอ้างว่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกระหน่ำยิงขณะเดินทางมากับเรือสินค้าจีนบริเวณติดกับเมืองมอม แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ไปทางทิศเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร โดยหลังเกิดเหตุทั้งหมดได้นั่งเรือเล็กมาขึ้นฝั่งไทยก่อนมาขอรับการช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไทยยังไม่พบเรือสินค้าจีนตามที่ทั้งหมดระบุแต่อย่างใด รวมทั้งมีกระแสข่าวเรื่องการออกอาละวาดของกองกำลังนายหน่อคำและการเข้าปราบปรามของเจ้าหน้าที่พม่าและ สปป.ลาว อย่างหนักในช่วงนี้ด้วยจึงไม่ปักใจเชื่อตามคำให้การทั้งหมดกระทั่งทั้งหมดทะยอยเดินทางออกจากโรงพยาบาลดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับกลุ่มติดอาวุธของนายหน่อคำ มีกระแสว่า ออกอาละวาดลุ่มแม่น้ำโขงมานาน โดยหน่วยงานความมั่นคงของไทย ระบุว่า ออกอาละวาดเก็บค่าคุ้มครองเรือสินค้าในแม่น้ำโขงตั้งแต่เมืองเชียงกก สปป.ลาว ลงมาจนถึงบริเวณเกาะศรีดอนเรือง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร โดยเป็นลักษณะกองกำลังติดอาวุธและมีเรือเร็วซึ่งนอกจากจะเก็บค่าคุ้มครองเรือสินค้ายังเก็บค่าผ่านทางจากพวกค้ายาเสพติดโดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า เก็บจากกลุ่มค้ายาบ้าเม็ดละ 3 บาท โดยเฉพาะขบวนการค้ายาเสพติดที่ต้องการขนจากฝั่งประเทศพม่าข้ามแม่น้ำโขงไปยัง สปป.ลาว เพื่อนำส่งเข้าประเทศไทยตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มทุนจีนที่ไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ เพราะกลุ่มนี้ก็มีผลประโยชน์ลุ่มแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงได้มีการว่าจ้างเจ้าหน้าที่พม่า และ สปป.ลาว ให้ออกปราบปรามอย่างหนักจนเกิดเหตุการณ์ปะทะและมีผู้เสียชีวิตลอยมากับแม่น้ำโขงช่วงเดียวกันกับที่ทั้ง 4 คนหลบหนีเข้ามารับการรักษาที่ฝั่งไทยทำให้ทั้งหมดถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการปะทะดังกล่าวด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวออกมาอีกว่าได้มีการพบชายอีก 3-4 คนหลบหนีเข้ามาเช่นกันโดยเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บโดยมีชื่อว่านายแรง ไข่มิ้น อายุประมาณ 40 ปี ชาวบ้านเลขที่ 96 ม.1 ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และนายน็อตและนายปั๋นชาวไทยใหญ่ แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับมีของกลางเป็นกระสุนปืนอาก้า ปลอกกระสุน และเอกสารภาษาไทยใหญ่จำนวน 4 เล่ม โทรศัพท์มือถืออีก 7 เครื่อง ซึ่งอาจเป็นบัญชีซื้อขายอาวุธจากฝั่งไทย
ปัจจุบันตำรวจได้ดำเนินคดีในข้อหามีเครื่องกระสุนอาวุธในครอบครองและเฝ้าดูพฤติการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ระบุในช่วงที่เดินทางมาประชุมที่ จ.เชียงราย ว่า หากสามารถแปลเอกสารทั้ง 4 เล่มได้จะสามารถคลี่คลายปัญหาภายให้กับหน่วยงานราชการไทยได้อีกมาก ขณะเดียวกัน ก็สอดคล้องกับข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงที่ระบุในการประชุมคราวเดียวกัน ว่า กลุ่มค้ายาเสพติดบางกลุ่มจะใช้ยาบ้ามาแลกกับอาวุธสงครามโดยไม่รับเงินสดเนื่องจากมีความจำเป็นต้องสะสมอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลพม่า และป้องกันตัวเองจากกลุ่มอื่นๆ ด้วย
รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า จากกรณีมีผู้บาดเจ็บจากการถูกยิงในแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว และ พม่า ด้านสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน และหลบหนีเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลฝั่งไทยเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุด กลุ่มคนที่ถุกยิงดังกล่าว ซึ่งประกอบไปด้วย นายอาต ไม่มีนามสกุล นายตี๋ ไม่มีนามสกุล นายวันแสง ไม่มีนามสกุล ชาวไทยใหญ่ และ นายจะเออ จะซอ ชาวเขาเผ่ามูเซอ ทั้งหมดอายุประมาณ 30 ปี ได้ทยอยออกจากโรงพยาบาลไปอย่างมีเงื่อนงำ ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงชายแดนหลายฝ่ายต่างออกมาระบุว่า เหตุการณ์ถูกยิงดังกล่าวเกี่ยวข้องกับขบวนการติดอาวุธและยาเสพติดลุ่มแม่น้ำโขง โดยในการเดินทางไปเยือน จ.เชียงราย เพื่อประชุมแก้ไขปัญหายาเสพติดกับหน่วยงานต่างๆ เมื่อวันที่ 24-25 ก.ย.ที่ผ่านมา ก็ให้ความสนใจในความเคลื่อนไหวนี้เป็นกรณีพิเศษด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังจากมีการจัดการประชุมและถกประเด็นว่ากรณีถูกยิงดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธยาเสพติดลุ่มแม่น้ำโขงกลุ่มของนาย “หน่อคำ” ซึ่งอาละวาดเก็บค่าคุ้มครองเรือสินค้าและยาเสพติดอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีทีผ่านมา โดยพบว่าชาย 2 คนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อ.เชียงแสน ได้ออกจากโรงพยาบาลไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งถูกยิงเข้าที่บริเวณสะโพกและถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ยังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลบริเวณหน้าห้องรักษาอย่างเข้มงวดเพราะยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดอยู่
นายเสริมศักดิ์ สีสันต์ นายอำเภอเชียงแสน กล่าวว่า กรณีของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดต้องถือว่าเขาเป็นคนต่างด้าวที่ไม่ใช่คนไทย แต่เมื่อมาขอรับการรักษาที่ฝั่งไทยก็ต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม แต่ช่วงที่รักษาแล้วเขาเกิดไม่อยู่ต่อก็คงจะเดินทางกลับไปยังประเทศของเขาตามปกติซึ่งไม่ได้หมายถึงการหลบหนีใดๆ เพราะเป็นการกลับประเทศตัวเอง
ส่วนกรณีของนายหน่อคำ ซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธในแม่น้ำโขงนั้น ต้องถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับประเทศไทยแน่นอน แต่กรณีของบุคคลที่เข้ารับการรักษาเรายังไม่อาจจะเชื่อมไปถึงกลุ่มเหล่านั้นได้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปก็คงจะกลับภูมิลำเนาเดิมของเขาไปแล้ว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เหตุปะทะกันในแม่น้ำโขงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20-21 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยตามคำกล่าวอ้างของกลุ่มคนที่ถูกยิงอ้างว่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกระหน่ำยิงขณะเดินทางมากับเรือสินค้าจีนบริเวณติดกับเมืองมอม แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ไปทางทิศเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร โดยหลังเกิดเหตุทั้งหมดได้นั่งเรือเล็กมาขึ้นฝั่งไทยก่อนมาขอรับการช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไทยยังไม่พบเรือสินค้าจีนตามที่ทั้งหมดระบุแต่อย่างใด รวมทั้งมีกระแสข่าวเรื่องการออกอาละวาดของกองกำลังนายหน่อคำและการเข้าปราบปรามของเจ้าหน้าที่พม่าและ สปป.ลาว อย่างหนักในช่วงนี้ด้วยจึงไม่ปักใจเชื่อตามคำให้การทั้งหมดกระทั่งทั้งหมดทะยอยเดินทางออกจากโรงพยาบาลดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับกลุ่มติดอาวุธของนายหน่อคำ มีกระแสว่า ออกอาละวาดลุ่มแม่น้ำโขงมานาน โดยหน่วยงานความมั่นคงของไทย ระบุว่า ออกอาละวาดเก็บค่าคุ้มครองเรือสินค้าในแม่น้ำโขงตั้งแต่เมืองเชียงกก สปป.ลาว ลงมาจนถึงบริเวณเกาะศรีดอนเรือง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร โดยเป็นลักษณะกองกำลังติดอาวุธและมีเรือเร็วซึ่งนอกจากจะเก็บค่าคุ้มครองเรือสินค้ายังเก็บค่าผ่านทางจากพวกค้ายาเสพติดโดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า เก็บจากกลุ่มค้ายาบ้าเม็ดละ 3 บาท โดยเฉพาะขบวนการค้ายาเสพติดที่ต้องการขนจากฝั่งประเทศพม่าข้ามแม่น้ำโขงไปยัง สปป.ลาว เพื่อนำส่งเข้าประเทศไทยตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มทุนจีนที่ไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ เพราะกลุ่มนี้ก็มีผลประโยชน์ลุ่มแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงได้มีการว่าจ้างเจ้าหน้าที่พม่า และ สปป.ลาว ให้ออกปราบปรามอย่างหนักจนเกิดเหตุการณ์ปะทะและมีผู้เสียชีวิตลอยมากับแม่น้ำโขงช่วงเดียวกันกับที่ทั้ง 4 คนหลบหนีเข้ามารับการรักษาที่ฝั่งไทยทำให้ทั้งหมดถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการปะทะดังกล่าวด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวออกมาอีกว่าได้มีการพบชายอีก 3-4 คนหลบหนีเข้ามาเช่นกันโดยเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บโดยมีชื่อว่านายแรง ไข่มิ้น อายุประมาณ 40 ปี ชาวบ้านเลขที่ 96 ม.1 ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และนายน็อตและนายปั๋นชาวไทยใหญ่ แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับมีของกลางเป็นกระสุนปืนอาก้า ปลอกกระสุน และเอกสารภาษาไทยใหญ่จำนวน 4 เล่ม โทรศัพท์มือถืออีก 7 เครื่อง ซึ่งอาจเป็นบัญชีซื้อขายอาวุธจากฝั่งไทย
ปัจจุบันตำรวจได้ดำเนินคดีในข้อหามีเครื่องกระสุนอาวุธในครอบครองและเฝ้าดูพฤติการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ระบุในช่วงที่เดินทางมาประชุมที่ จ.เชียงราย ว่า หากสามารถแปลเอกสารทั้ง 4 เล่มได้จะสามารถคลี่คลายปัญหาภายให้กับหน่วยงานราชการไทยได้อีกมาก ขณะเดียวกัน ก็สอดคล้องกับข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงที่ระบุในการประชุมคราวเดียวกัน ว่า กลุ่มค้ายาเสพติดบางกลุ่มจะใช้ยาบ้ามาแลกกับอาวุธสงครามโดยไม่รับเงินสดเนื่องจากมีความจำเป็นต้องสะสมอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลพม่า และป้องกันตัวเองจากกลุ่มอื่นๆ ด้วย