สุรินทร์ - รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นำกำลัง ตร.สุรินทร์ กว่า 250 นาย จู่โจมตรวจค้นเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี สุรินทร์ ได้ของกลางนับร้อยชิ้น ทั้งยาบ้า ยาไอซ์ โทรศัพท์มือถือ หลังได้รับแจ้งมีการลักลอบซื้อขายยาเสพติดผ่านเรือนจำเป็นจำนวนมาก ฉาวพบ 2 ผัวเมีย จนท.ราชทัณฑ์ เอี่ยวค้ายาโอนงานผ่านบัญชีธนาคารกว่า 10 ล้าน พร้อมบุกตรวจค้นบ้านจับกุมเร่งเค้นสอบขยายผล
วันนี้ (20 ก.ย.) เมื่อเวลา 05.30 น.ที่เรือนจำจังหวัดรัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ นายฐานิส ศรียะพันธ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วย นายพิภพ ดำทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์, พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) สุรินทร์ ,พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ แก้วมณี รองผบก.ภ.จว.สุรินทร์, นายอภิเชษฐ์ สุระใจ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ จากเกือบทุกสถานี พร้อม ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ 21 รวมกว่า 250 นาย และสุนัขดมกลิ่น 2 ตัว จู่โจมเข้าตรวจค้นเรือนนอน ของผู้ต้องขัง ในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี ซึ่งมีผู้ต้องขังที่ต้องทำการตรวจค้นทั้งหญิงและชาย จำนวน 600 คน
การจู่โจมเข้าตรวจค้นเรือนจำจังหวัดรัตนบุรีครั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดในหลายพื้นที่ เช่น จ.ร้อยเอ็ด, สุรินทร์, นครราชสีมา และ จ.ชลบุรี ให้ข้อมูลว่า ผู้ต้องหาให้การซัดทอดสั่งซื้อยาบ้าผ่านนักโทษในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี รวมั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดรัตนบุรี ได้ให้ข้อมูลพบมีการแพร่ระบาดของยาเสพติด และมีการค้ายาบ้า ยาไอซ์ โดยลักลอบสั่งซื้อขายกันทางโทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ ผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขัง นักโทษคดียาเสพติด โดยเฉพาะมีระดับแกนนำการค้ายาเสพติดถึง 26 คน ซึ่งวันนี้ นายฐานิส ศรียะพันธ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้สั่งให้แยกผู้ต้องหา ระดับแกนนำค้ายาเสพติดออกจากเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี ไปยังเรือนจำคลองไผ่ จ.นครราชสีมา และ เรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ที่มีระบบการป้องกันที่ดีกว่า
จากการบุกตรวจค้นเรือนจำจังหวัดรัตนบุรีของเจ้าหน้าที่ในวันนี้สามารถตรวจยึดสิ่งของผิดกฎหมาย ห้ามนำเข้าเรือนจำจำนวนมาก เช่น โทรศัพท์มือถือ จำนวน 63 เครื่อง, ชิมการ์ดโทรศัพท์ จำนวน 15 อัน, สารยาไอซ์ จำนวน 3 ห่อ, ยาไอซ์ 3 หลอด, ยาบ้า 1,950 เม็ด สมุดบันทึกการสั่งโอนเงิน ผ่านบัญชีธนาคารการค้ายาบ้า จำนวนหลายแสนบาท นอกจากนั้น ยังพบอุปกรณ์ต่อพ่วงโทรศัพท์ และอุปกรณ์ดัดแปลงสำหรับทำเป็นแผ่นทำความร้อนต้มน้ำร้อน, บุหรี่กว่า 200 ซอง
ในระหว่างการตรวจค้นนักโทษภายในเรือนจำได้ระบุถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดรัตนบุรี มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดในเรือนจำ จำนวน 2 คน ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน พร้อมให้ข้อมูลว่า มีการซื้อขายยาเสพติด โดยการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของเจ้าหน้าที่เรือนจำทั้ง 2 คน ดังกล่าวมูลค่านับ 10 ล้านบาท
ต่อมา พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ แก้วมณี รองผบก.ภ.จว.สุรินทร์ จึงนำหมายค้น เลขที่ ค.37/2554 เข้าตรวจค้นบ้านพักของข้าราชการเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี บ้านเลขที่ 200/5 ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายบุญโฮม ระวิเรือง นักวิชาการอบรม และฝึกวิชาชีพปฏิบัติการ และ นางสมหมาย บุษบา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ปฏิบัติการ ที่ถูกระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดในจำเรือน ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังทำการสอบปากคำขยายผล แต่ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 คนยังให้การปฏิเสธ
พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า การเข้าตรวจค้น ภายในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี เนื่องการจับกุมผู้ค้ายาบ้าในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด, สุรินทร์, นครราชสีมา และพัทยา จ.ชลบุรี ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมระบุว่า ซื้อยาบ้าผ่านการประสานงานจากผู้ต้องขังในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ และผู้คุมในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรีได้แจ้งข้อมูลการลักลอบค้ายาบ้า ยาไอซ์ ภายในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี รวมทั้งยังได้รับแจ้งจากกรมราชทัณฑ์ถึงการทำผิดกฎหมาย ในเรือนจำดังกล่าว นอกจากนั้น ยังพบว่ามีนักโทษถูกขึ้นแบล็กลิสต์การค้ายาเสพติดระดับแกนนำอีก 26 รายถูกคุมขังอยู่ด้วย ซึ่งวันนี้ได้ย้ายนักโทษทั้ง 26 ราย ไปคุมขังยังเรือนจำคลองไผ่ จ.นครราชสีมา, เรือนจำเขาบิน จ.ราชบุรี และเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก
ด้าน นายฐานิส ศรียะพันธ์ รองอธิบดีกรมชารทัณฑ์ กล่าวว่า นักโทษที่เกี่ยวข้องกับค้ายาเสพติดในเรือนจำจังหวัดรัตนบุรี ได้ย้ายไปยังเรือนจำที่มีความปลอดภัย มีระบบตรวจจับที่ดี เพื่อให้สามารถทำการตรวจสอบพฤติการณ์นักโทษได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นต้องมีการปรับปรุงเรือนจำทั่วประเทศ ให้มีเครื่องมือตรวจสอบที่ทันสมัย ซึ่งต้องขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดรัตนบุรี เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการค้ายาเสพติดในเรือนจำ ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงพร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบการกระทำผิดกฎจริงจะดำเนินการทั้งทางวินัย และอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป
