ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ผู้เลี้ยงหมูหวั่นน้ำท่วม ดัมป์หมูขายก่อนเวลา เป็นโอกาสดีที่ผู้บริโภคได้กินหมูถูกลง คาดกระทบหมูหายช่วงปลายปี
นายวีระ ป้อมสุวรรณ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคกลางตอนบน เปิดเผยถึงสถานการณ์สุกรในปัจจุบัน ว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงสุกรในหลายภูมิภาคเกิดความวิตกเกี่ยวกับสภาวะน้ำท่วมที่อาจจะส่งผลกระทบกับการผลิตสุกร เกษตรกรในหลายพื้นที่ที่เสี่ยงภัยและเคยประสบกับปัญหาน้ำท่วมมาก่อน จึงต้องป้องกันปัญหาด้วยการเร่งจับสุกรออกขายก่อนถึงเวลาและน้ำหนักที่เหมาะสม หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะส่งผลต่อปริมาณสุกรที่จะหายไปในช่วงปลายปีอย่างแน่นอน
“จากภาวะน้ำท่วมที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดเดาไม่ได้ ทำให้เกษตรกรกังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาอีกอย่างที่เคยเป็นมา สิ่งที่เกษตรกรจะทำได้ในวันนี้ คือ การจับหมูออกขายที่น้ำหนัก 85-90 กก.จากปกติต้องจับที่น้ำหนัก 105-110 กก.ทำให้เกษตรกรเสียโอกาสทางการตลาดประมาณ 15-25 กก.ต่อตัว หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 1,200-2,000 บาทต่อตัว หากคำนวนจากราคาที่ถูกควบคุมที่ 81 บาทต่อ กก.ในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ ในหลายพื้นที่มีปัญหาอากาศแปรปรวน และปัญหาระบาด โดยเฉพาะโรค FMD หรือปากเท้าเปื่อย ที่เริ่มจากเกิดฟาร์มเล็กๆ ในภาคเหนือและภาคอีสาน แล้วลามไปสู่ภาคกลาง ทำให้ฟาร์มใหญ่ๆ บางฟาร์มเสียหายสูงถึง 70-80% หรือบางแห่งก็ตายเกือบทั้งฟาร์ม ทำให้ปริมาณหมูที่จะออกสู่ตลาดน้อยลง ผู้ค้าหลายรายเมื่อไม่มีหมูจำหน่ายก็ขอให้ผู้เลี้ยงหมูขายหมูน้ำหนักก่อนกำหนดที่ประมาณ 90 กก.เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าในช่วงสิ้นปีนี้ ปริมาณสุกรในท้องตลาดจะขาดแคลนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผลของความวิตกเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม และโรคระบาดดังกล่าว ทำให้ปริมาณหมูหนีตายที่ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นในปัจจุบัน มีผลต่อราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์มลดลงจาก 81 บาทต่อกก. มาอยู่ที่ 75-77 บาทต่อ กก.และเชื่อว่า ราคาหมูเนื้อแดงน่าจะลดลงตามราคาหมูเป็น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้ซื้อหมูเนื้อแดงที่ราคาถูกลงในปัจจุบัน
ขณะนี้ ปริมาณผลผลิตสุกรในภูมิภาคเอเชียโดยรวมลดลงถึง 30-40% จากปัญหาโรคระบาดในสุกรรุมเร้า ตั้งแต่โรคที่มีอยู่เดิมอย่าง PRRS แต่ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นเพราะไม่เพียงทำให้แม่สุกรแท้งเท่านั้นแต่ยังทำให้แม่สุกรถึงตาย โรคปากเท้าเปื่อยที่จะยิ่งประทุหนักในช่วงฤดูฝน
รวมทั้งโรคอุบัติใหม่อย่างโรคพีอีดี (PED) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดร้ายแรงจากประเทศจีน และเกาหลีใต้ที่กำลังลุกลาม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่แม่สุกรและลูกสุกรจะมีอาการท้องเสียตายยกคอก สาเหตุเหล่านี้ ทำให้สุกรของประเทศไทยลดจำนวนลงที่ 35,000-36,000 ตัวต่อวัน แต่เมื่อผนวกกับการแก้ปัญหาของเกษตรกรด้วยการขายก่อนกำหนด ส่งผลให้ปริมาณสุกรที่ออกสู่ตลาดลดลงเหลือเพียงแค่ 32,000 ตัวต่อวัน
นายวีระ ป้อมสุวรรณ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคกลางตอนบน เปิดเผยถึงสถานการณ์สุกรในปัจจุบัน ว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงสุกรในหลายภูมิภาคเกิดความวิตกเกี่ยวกับสภาวะน้ำท่วมที่อาจจะส่งผลกระทบกับการผลิตสุกร เกษตรกรในหลายพื้นที่ที่เสี่ยงภัยและเคยประสบกับปัญหาน้ำท่วมมาก่อน จึงต้องป้องกันปัญหาด้วยการเร่งจับสุกรออกขายก่อนถึงเวลาและน้ำหนักที่เหมาะสม หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะส่งผลต่อปริมาณสุกรที่จะหายไปในช่วงปลายปีอย่างแน่นอน
“จากภาวะน้ำท่วมที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดเดาไม่ได้ ทำให้เกษตรกรกังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาอีกอย่างที่เคยเป็นมา สิ่งที่เกษตรกรจะทำได้ในวันนี้ คือ การจับหมูออกขายที่น้ำหนัก 85-90 กก.จากปกติต้องจับที่น้ำหนัก 105-110 กก.ทำให้เกษตรกรเสียโอกาสทางการตลาดประมาณ 15-25 กก.ต่อตัว หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 1,200-2,000 บาทต่อตัว หากคำนวนจากราคาที่ถูกควบคุมที่ 81 บาทต่อ กก.ในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ ในหลายพื้นที่มีปัญหาอากาศแปรปรวน และปัญหาระบาด โดยเฉพาะโรค FMD หรือปากเท้าเปื่อย ที่เริ่มจากเกิดฟาร์มเล็กๆ ในภาคเหนือและภาคอีสาน แล้วลามไปสู่ภาคกลาง ทำให้ฟาร์มใหญ่ๆ บางฟาร์มเสียหายสูงถึง 70-80% หรือบางแห่งก็ตายเกือบทั้งฟาร์ม ทำให้ปริมาณหมูที่จะออกสู่ตลาดน้อยลง ผู้ค้าหลายรายเมื่อไม่มีหมูจำหน่ายก็ขอให้ผู้เลี้ยงหมูขายหมูน้ำหนักก่อนกำหนดที่ประมาณ 90 กก.เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าในช่วงสิ้นปีนี้ ปริมาณสุกรในท้องตลาดจะขาดแคลนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผลของความวิตกเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม และโรคระบาดดังกล่าว ทำให้ปริมาณหมูหนีตายที่ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นในปัจจุบัน มีผลต่อราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์มลดลงจาก 81 บาทต่อกก. มาอยู่ที่ 75-77 บาทต่อ กก.และเชื่อว่า ราคาหมูเนื้อแดงน่าจะลดลงตามราคาหมูเป็น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้ซื้อหมูเนื้อแดงที่ราคาถูกลงในปัจจุบัน
ขณะนี้ ปริมาณผลผลิตสุกรในภูมิภาคเอเชียโดยรวมลดลงถึง 30-40% จากปัญหาโรคระบาดในสุกรรุมเร้า ตั้งแต่โรคที่มีอยู่เดิมอย่าง PRRS แต่ความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นเพราะไม่เพียงทำให้แม่สุกรแท้งเท่านั้นแต่ยังทำให้แม่สุกรถึงตาย โรคปากเท้าเปื่อยที่จะยิ่งประทุหนักในช่วงฤดูฝน
รวมทั้งโรคอุบัติใหม่อย่างโรคพีอีดี (PED) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดร้ายแรงจากประเทศจีน และเกาหลีใต้ที่กำลังลุกลาม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่แม่สุกรและลูกสุกรจะมีอาการท้องเสียตายยกคอก สาเหตุเหล่านี้ ทำให้สุกรของประเทศไทยลดจำนวนลงที่ 35,000-36,000 ตัวต่อวัน แต่เมื่อผนวกกับการแก้ปัญหาของเกษตรกรด้วยการขายก่อนกำหนด ส่งผลให้ปริมาณสุกรที่ออกสู่ตลาดลดลงเหลือเพียงแค่ 32,000 ตัวต่อวัน