สระแก้ว - พ่อค้าพืชไร่ โอดครวญไม่สามารรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เขมร เพื่อนำเข้าได้ เหตุ ต้องเสียภาษีศุลกากรสูงมากเกินไป แนะจังหวัดเร่งทำความเข้าใจ ก่อนจะกระทบความสัมพันธ์ในพื้นที่
นายสุเทพ ตั้งเทียนทอง รองประธานชมรมผู้ค้าพืชไร่กัมพูชา ในฐานะรองประธานหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวในระหว่างการประชุมแก้ปัญหาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากจังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ที่มีนายวินัย วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ว่าขณะนี้บรรดาพ่อค้าพืชไร่ ที่เข้าไปลงทุนปลูกข้าวโพดในจังหวัดพระตะบอง กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากมาตรการกีดกันทางการค้าของรัฐบาล ที่เรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึงร้อยละ 73 และอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษอีก ตันละ 180 บาท ซึ่งเป็นภาระที่สูงมาก จนพ่อค้าไม่สามารถนำเข้าได้ และก่อนหน้านี้ ทางหอการค้าจังหวัด ได้ทำหนังสือชี้แจงถึงความเดือดร้อนที่ได้รับไปผ่านจังหวัดไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น
นายสุเทพกล่าวว่ารูปแบบการลงทุนที่พ่อค้าเข้าไปลงทุนนั้นจะเป็นการลงทุนด้านเมล็ดพันธุ์และปุ๋ย ให้กับชาวกัมพูชา แล้วรับซื้อผลผลิตที่ได้ ในราคาที่ตกลงกัน แล้วนำ เข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนด้านอำเภอคลองหาด เพื่อสีเป็นเมล็ด อบแห้ง แล้วส่งออกต่างประเทศทั้งหมด ไม่ได้นำเข้ามาขายในประเทศ จึงไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อราคาผลผลิตของชาวไร่ข้าวโพดในจังหวัดสระแก้ว หรือในจังหวัดอื่น ๆ และถ้าผู้ค้าไม่สามารถนำเข้าได้ อันเนื่องมาจากอัตราภาษีศุลกากร ที่เรียกเก็บสูงมากดังกล่าวนั้น อาจจะทำให้ทางกัมพูชาเข้าใจผิด ว่าทางเราไม่มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือเขา ตามที่ได้ร้องขอความอนุเคราะห์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นทางจังหวัดจะต้องเร่งทำความเข้าใจกับรัฐบาลท้องถิ่นของกัมพูชาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเกิดผลกระทบกับความสัมพันธ์ต่อกัน
ด้านนายสุภาพ บุญเรือง ผู้อำนวยการ (ผอ) สำนักงานการค้าต่างประเทศ เขต 4 (สระแก้ว) กล่าวว่า ภายใต้กรอบข้อตกลง WTO ไทยสามรถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากกัมพูชา ในปี 2554 จำนวนโควตา 5 หมื่นตัน โดยองค์การคลังสินค้า (อคส) ซึ่งจะต้องเสียภาษี 20 เปอร์เซ็นต์ และต้องนำเข้าระหว่างเดือน มีนาคม ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
ส่วนนอกโควตานั้นสามารถนำเข้าได้ในจำนวนไม่จำกัด แต่ต้องเสียภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมพิเศษ ดังกล่าวข้างต้น หรืออาจจะนำเข้าตามข้อตกลงอาฟต้า โดยทางกัมพูชาต้องออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดให้ โดยไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ แต่จะต้องนำเข้าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม ถึง 30 มิถุนายน เท่านั้น หรือไม่ก็อาจจะนำเข้าตามโครงการ contact farming ที่จะต้องขออนุญาตคณะรัฐมนตรีเป็นคราว ๆ ไปก็ได้
นายสุเทพ ตั้งเทียนทอง รองประธานชมรมผู้ค้าพืชไร่กัมพูชา ในฐานะรองประธานหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวในระหว่างการประชุมแก้ปัญหาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากจังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ที่มีนายวินัย วิทยานุกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ว่าขณะนี้บรรดาพ่อค้าพืชไร่ ที่เข้าไปลงทุนปลูกข้าวโพดในจังหวัดพระตะบอง กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากมาตรการกีดกันทางการค้าของรัฐบาล ที่เรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงถึงร้อยละ 73 และอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษอีก ตันละ 180 บาท ซึ่งเป็นภาระที่สูงมาก จนพ่อค้าไม่สามารถนำเข้าได้ และก่อนหน้านี้ ทางหอการค้าจังหวัด ได้ทำหนังสือชี้แจงถึงความเดือดร้อนที่ได้รับไปผ่านจังหวัดไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น
นายสุเทพกล่าวว่ารูปแบบการลงทุนที่พ่อค้าเข้าไปลงทุนนั้นจะเป็นการลงทุนด้านเมล็ดพันธุ์และปุ๋ย ให้กับชาวกัมพูชา แล้วรับซื้อผลผลิตที่ได้ ในราคาที่ตกลงกัน แล้วนำ เข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนด้านอำเภอคลองหาด เพื่อสีเป็นเมล็ด อบแห้ง แล้วส่งออกต่างประเทศทั้งหมด ไม่ได้นำเข้ามาขายในประเทศ จึงไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อราคาผลผลิตของชาวไร่ข้าวโพดในจังหวัดสระแก้ว หรือในจังหวัดอื่น ๆ และถ้าผู้ค้าไม่สามารถนำเข้าได้ อันเนื่องมาจากอัตราภาษีศุลกากร ที่เรียกเก็บสูงมากดังกล่าวนั้น อาจจะทำให้ทางกัมพูชาเข้าใจผิด ว่าทางเราไม่มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือเขา ตามที่ได้ร้องขอความอนุเคราะห์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นทางจังหวัดจะต้องเร่งทำความเข้าใจกับรัฐบาลท้องถิ่นของกัมพูชาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเกิดผลกระทบกับความสัมพันธ์ต่อกัน
ด้านนายสุภาพ บุญเรือง ผู้อำนวยการ (ผอ) สำนักงานการค้าต่างประเทศ เขต 4 (สระแก้ว) กล่าวว่า ภายใต้กรอบข้อตกลง WTO ไทยสามรถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากกัมพูชา ในปี 2554 จำนวนโควตา 5 หมื่นตัน โดยองค์การคลังสินค้า (อคส) ซึ่งจะต้องเสียภาษี 20 เปอร์เซ็นต์ และต้องนำเข้าระหว่างเดือน มีนาคม ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
ส่วนนอกโควตานั้นสามารถนำเข้าได้ในจำนวนไม่จำกัด แต่ต้องเสียภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมพิเศษ ดังกล่าวข้างต้น หรืออาจจะนำเข้าตามข้อตกลงอาฟต้า โดยทางกัมพูชาต้องออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดให้ โดยไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ แต่จะต้องนำเข้าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม ถึง 30 มิถุนายน เท่านั้น หรือไม่ก็อาจจะนำเข้าตามโครงการ contact farming ที่จะต้องขออนุญาตคณะรัฐมนตรีเป็นคราว ๆ ไปก็ได้
