สระแก้ว- สถานการณ์ชายแดนด้านสระแก้ว ยังปกติ มีเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา ส่วนพ่อค้า-แม่ค้า ยังทำการค้าขายอย่างคึกคัก
วันนี้ (19 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว พบเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อย 1206 กองกำลังบูรพา ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เพื่อติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดสระแก้ว หลังศาลโลกวินิจฉัยกรณีกัมพูชายื่นคำร้องให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยขณะนี้สถานการณ์ตามแนวชายแดนยังสงบเรียบร้อยดี
สำหรับบริเวณหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว คึกคักไปด้วยผู้ประกอบการ และหอการค้าจังหวัดบันเตียเมียนเจย และพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ที่เข้ามาสัมมนาในไทยที่โรงแรมอินโดจีน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่หอการค้าจังหวัดสระแก้วจัดขึ้น 4 วัน ส่วนประชาชนยังคงใช้ชีวิตตามปกติตามแนวชายแดน โดยไม่ได้วิตกกังวลต่อสถานการณ์ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทหารเฝ้าติดตามสถานการณ์ เพื่อสร้างความมั่นใจกับชาวบ้านตามแนวชายแดน
ด้าน นางอินศรีทัศน์ สุกุลเฮียรี ประธานหอการค้าจังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา กล่าวว่า หลังจากศาลโลกตัดสินปัญหาประสาทเขาพระวิหาร สำหรับภาคเอกชนของกัมพูชา ก็ยังไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการกัมพูชา-ไทย ยังมีความสัมพันธ์เหมือนเดิมทุกอย่าง โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้น จึงของให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เพื่อให้การค้าขายทั้ง 2 ประเทศเจริญต่อไป
นายประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ชายแดนด้านจังหวัดสระแก้วนั้น ดูเหมือนบรรยากาศการค้าขายดีขึ้น โดยสังเกตได้เมื่อหยุดยาว 4 วัน ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการจากประเทศไทย มาพื้นที่ชายแดนเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าทุกอย่างคงจะดีขึ้นด้วย สำหรับการส่งออกของไทย ไตรมาส 1-3 ต.ค.ถึง ธ.ค.53 จนถึง ม.ค.-มิ.ย.54 มีมูลค่าส่งออก จำนวน 28,505,469,210 บาท ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 3,879,627,911 บาท โดยแสดงให้เห็นว่าการค้าขายอยู่เกณฑ์ดี
นายทอง ทีนา พาณิชย์จังหวัดบันเตียนเมียนเจย ประเทศกัมพูชา กล่าวว่า สำหรับการค้าของพาณิชย์กัมพูชาเรามีวิสัยทัศน์เมื่อปี 11-15 ต้องขยายการค้าเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้ประกอบการทั้ง 2 ประเทศ นโยบายของหอการค้าจะขยายให้มากยิ่งขึ้นในแต่ละปีไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ของกัมพูชาและไทย ซึ่งจะเป็นสมาชิกของอาเซียนเหมือนกันจะต้องช่วยกัน เมื่อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าเป็นของกัมพูชาและไทยจะมาตกลงกัน ซึ่งเราจะทำร่วมกันทั้งอาเซียน ซึ่งเป้าหมายเศรษฐกิจเสรีในปี 2015 เราจะต้องส่งเสริมภาคเอกชนทั้ง 2 ประเทศ จับมือกันร่วมมือกันเพื่อทำการค้า ส่วนภาครัฐจะต้องรับผิดชอบเรื่องกฎหมายอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการทั้ง 2 ประเทศ ที่กล่าวถึงในเบื้องต้นเป็นภารหน้าที่ของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนั้น เรื่อง เอสเอ็มอีเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่จะต้องร่วมมือกัน ทั้ง 3 ประเทศ ประกอบด้วยไทย กัมพูชา และลาว เพื่อพัฒนาการค้าร่วมกันในแถบอาเซียน