ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “โฆษก ทภ.2” เผย ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน “เขาพระวิหาร” ยังปกติ ทหารไทยตรึงกำลังเข้มตามแนวชายแดนเพื่อรักษาอธิปไตย ยันยังไม่ถอนทหาร และไม่พบทหารเขมรเคลื่อนไหวผิดปกติ มีเพียงสับเปลี่ยนกำลังพลไปไถนา ระบุ พื้นที่ปลอดทหารของศาลโลกยังไม่ชัดเจน ต้องดูภูมิประเทศจริงประกอบ ชี้ เป็นเรื่องของรัฐบาลดำเนินการ หากมีคำสั่งอย่างไร กองทัพภาค 2 พร้อมปฏิบัติตาม อ้างคำวินิจฉัยคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกไม่ใช่การแบ่งเส้นเขตแดน และไม่อยากให้มองเป็นเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ
วันนี้ (19 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ หลังศาลโลกมีคำวินิจฉัยออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ในคดีปราสาทพระวิหาร โดยโดยเฉพาะการให้ทหารทั้ง 2 ฝ่ายถอนกำลังออกจากเขาพระวิหารตามที่กำหนด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ว่า ล่าสุด สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นปกติ ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาทหารทั้ง 2 ฝ่ายยังตรึงกำลังและปฏิบัติหน้าที่เหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติมา ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ยังสามารถประสานพูดคุยการปฏิบัติงานร่วมกันได้
ในส่วนของกำลังทหารของกองทัพภาคที่ 2 ก็ยังคงรักษาอธิปไตยไว้อย่างเข้มแข็งและรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการทหารบกหรือรัฐบาล ที่จะสั่งการลงมาอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น
ส่วนการถอนทหารออกจากพื้นที่เขาพระวิหาร ตามที่ศาลโลกมีคำสั่งเพื่อให้เป็นเขตปลอดทหาร พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า พื้นที่ที่ศาลโลกระบุออกมายังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ฉะนั้น คงต้องรอความชัดเจนอีกครั้งก่อน ซึ่งความจริงจะต้องไปดูภูมิประเทศประกอบด้วย จึงยังไม่อยากพูดพาดพิงถึงเรื่องนี้ เพราะอาจเกิดความผิดพลาดได้ แต่ยืนยันว่าตอนนี้ฝ่ายไทยเรายังไม่มีการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่เดิมแต่อย่างใด
สำหรับประชาชนไทยในพื้นที่ตามแนวชายแดน มีความตื่นตัว และวิตกกังวลบ้างหลังจากมีคำวินิจฉัยของศาลโลกออกมา และทุกคนยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์และการข่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งเจ้าหน้าลงไปชี้แจงทำความเข้าใจแก่ประชาชนแล้ว พร้อมย้ำว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนถึงขณะนี้ไม่ได้มีความตึงเครียด ทุกอย่างยังเป็นปกติ เพื่อให้ประชาชนได้คลายความวิตกกังวล ซึ่งส่วนใหญ่มีความเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ประมาทประชาชนตามแนวชายแดนยังคงเตรียมความพร้อมในการอพยพทันที หากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น
“นโยบายของผู้บัญชาการทหารบก และ แม่ทัพภาคที่ 2 ตอนนี้ยังคงเน้นย้ำให้กำลังพลตามแนวชายแดน รักษาภูมิประเทศ ปกป้องอธิปไตยของชาติไว้อย่างเต็มที่ และปฏิบัติภารกิจตามปกติเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติมา แต่ไม่มีการเสริมกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใด และให้ทหารผู้ปฏิบัติใช้ความอดทนอดกลั้น โดยไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วย ส่วนพี่น้องประชาชนชาวไทยที่อยู่ตามแนวชายแดน ก็ให้ทหารของเราเข้าไปดูแลเพื่อสร้างความมั่นใจและรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนที่ต้องออกไปทำไร่ทำสวน” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว
พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า การดำเนินการจากนี้ไปคงเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะดำเนินการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ข่าวไปแล้วว่าจะใช้เวทีการเจรจาผ่านการประชุมจีบีซี ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ผู้ปฏิบัติก็พร้อมจะดำเนินการตามคำสั่งที่หน่วยเหนือสั่งการมา
ส่วนการเคลื่อนไหวของฝ่ายทหารกัมพูชา ในทางการข่าวยังไม่พบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเกิดขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของฝ่ายกัมพูชาที่มีการสับเปลี่ยนกำลังทหารอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนมีกำลังทหารของกัมพูชาบางส่วนที่ต้องลงไปทำไร่ไถนาบ้าง ฉะนั้นจึงถือว่าการเคลื่อนไหวเป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีการกดดันกำลังของทางฝ่ายไทยเราแต่อย่างใด
ต่อข้อถามที่ว่าในทางการข่าวเชิงลึก พบการเคลื่อนไหวของสายลับกัมพูชาที่จะเข้ามาหาข่าวในดินแดนไทยหรือไม่ พ.อ.ประวิทย์ กล่าวว่า ยังไม่พบการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ในพื้นที่แต่อย่างใด ปัจจุบันประชาชนให้ความร่วมมือในการเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ทหารเป็นอย่างดี หากมีบุคคลแปลกหน้าเข้ามาทำลักษณะเช่นเดิมที่ถูกจับตัวไป ชาวบ้านก็จะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ทราบทันที แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อมูลดังกล่าวเข้ามาแต่อย่างใด
พ.อ.ประวิทย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาให้ข่าวเย้ยไทย ว่า ศาลโลกมีคำสั่งให้ทหารไทยถอนกำลังออกไปไกลเพื่อจะได้ไม่ต้องมารุกรานเขมรได้ ว่า ขอยืนยันว่าไทยไม่เคยไปรุกรานใครก่อน ทุกครั้งที่เกิดการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ฝ่ายไทยเราไม่ได้เป็นผู้เริ่มก่อน เราเพียงแต่ปกป้องอธิปไตยของเราเท่านั้น ทหารของฝ่ายกัมพูชาจะเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อนทุกครั้ง เราจำเป็นจะต้องปกป้องอธิปไตยตามขีดความสามารถของเรา และตอบโต้ไปตามความเหมาะสมซึ่งไม่ได้มากมายอะไร และเป้าหมายของการตอบโต้ ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำตลอดว่าต้องเป็นเป้าหมายทางทหารเท่านั้น
ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ความสูญเสียของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนแทบจะไม่มีเลย หรือถ้าเป้าหมายของเราผิดพลาด ไปถูกพลเรือนของกัมพูชา ทางฝ่ายกัมพูชาจะต้องโวยวายแน่นอน ซึ่งการตอบโต้ของไทยเรามีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น เพื่อปกป้องกำลังพลไม่ให้ได้รับความสูญเสียและเพื่อปกป้องอธิปไตยของเรา
“ คำวินิจฉัยคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกในครั้งนี้ ไม่อยากให้มองว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไทย หรือกัมพูชา ซึ่งไทยเราถือว่ากัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าเรายังมาคิดว่าประเทศไทยได้เปรียบ หรือเสียเปรียบกัมพูชาอยู่ การตกลงพูดคุยระดับทวิภาคีมันจะทำให้เกิดความยากลำบากมากขึ้น เราคงต้องหาหนทางและกำหนดแนวทางการปฏิบัติเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติตามนโยบายของหน่วยเหนือให้ดีที่สุด และขอย้ำว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ใช่การแบ่งเส้นเขตแดนแต่อย่างใด” พ.อ.ประวิทย์ กล่าวในที่สุด