ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นออกแถลงการณ์สะกิดพรรคการเมือง ชี้ “ประชานิยม” ไม่ใช่ทางออกหลังทุกพรรคแห่ผลิตนโยบายออกมาแข่งขัน ยันพรรคการเมืองมีแต่สัญญาไม่เคยตอบ “ใช้เงินเท่าไหร่-หามาจากไหน” ชี้ไม่ใช่ทางแก้มีแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม เชื่อต้องกระจายอำนาจเลิกรวมทุกอย่างเข้าส่วนกลางถึงจะแก้ปัญหาได้ พร้อมเรียกร้องประชาชนดูว่าใครมีนโยบายให้อำนาจประชาชนได้จัดการตนเองมากกว่าสนใจประชานิยม
วันนี้ (30 มิ.ย.54) เครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นได้จัดการแถลงข่าว การประกาศแถลงการณ์ของเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็น เรื่องประชานิยมไม่ใช่ทางออกขึ้น ณ ห้องประชุม อาคารบ้านพักนานาชาติภราดรภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ โดยมีนายชำนาญ จันทร์เรือง นายพรหมศักดิ์ แสงโพธิ์ และนายประหยัด จตุพรพิทักษ์กุล ผู้ประสานงานคณะทำงานประชาสังคมเพื่อเชียงใหม่จัดการตนเองร่วมในการแถลงข่าว
ในการแถลงข่าว นายชำนาญได้อ่านคำแถลงการณ์ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ กลุ่มบ้านชุ่มเมืองเย็นมีความเห็นว่า ในช่วงของการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พรรคการเมืองต่างๆ ได้โหมโฆษณาหาเสียง ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อด้วยนโยบายประชานิยมจำนวนมาก โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงว่าจะสามารถทำตามที่ประกาศไว้ได้มากน้อยเพียงใด
อีกทั้งยังไม่คำนึงว่าหากจะทำตามนโยบายประชานิยมต่างๆ ที่ได้นำเสนอแล้ว จะเสี่ยงต่อการทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะล่มสลายทางการเงินการคลัง ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มจึงมีความเห็นว่า พรรคการเมืองต่างๆ ควรจะหันมาให้ความสำคัญต่อการกระจายอำนาจ และให้ความสำคัญกับการจัดการตนเองของท้องถิ่น ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาความไมเท่าเทียมในสังคมไทยได้มากกว่าการใช้นโยบายประชานิยมซึ่งในระยะยาวจะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะเดียวกัน ทางเครือข่ายฯ ยังได้เรียกร้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งพิจารณาเลือกพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีนโยบายและมีความจริงใจในการกระจายอำนาจ แทนที่จะให้ความสนใจแต่กับนโยบายประชานิยมที่ห่างไกลจากความเป็นจริงอีกด้วย
นายประหยัด จตุพรพิทักษ์กุล ผู้ประสานงานคณะทำงานประชาสังคมเพื่อเชียงใหม่จัดการตนเองกล่าวว่า นโยบายประชานิยมต่างๆ ที่พรรคการเมืองนำเสนอในการเลือกตั้งครั้งนี้นั้นมุ่งกระตุ้นเพียงการใช้จ่ายด้วยการนำเงินในอนาคตมาใช้ แต่ไม่สร้างความยั่งยืนและจะก่อให้เกิดหนี้สาธารณะจำนวนมากในอนาคต อีกทั้งพรรคการเมืองต่างๆ ไม่เคยชี้แจงว่านโยบ่ายประชานิยมนั้นจะใช้เม็ดเงินจำนวนเท่าใดและจะนำเงินจากไหนมาใช้ ทั้งที่จากตัวเลขการรวบรวมข้อมูลของสื่อมวลชนปรากฏว่าหากจะทำตามนโยบายประชานิยมต่างๆ แล้วต้องใช้เม็ดเงินในระดับหลักล้านล้านบาท นอกจากนี้การที่พรรคการเมืองแข่งขันกันแต่ในด้านนโยบายประชานิยมยังสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองไทยยังยึดติดอยู่กับโครงสร้างความคิดเรื่องการรวมศูนย์อำนาจ ไม่ได้มองว่าประชาชนหรือท้องถิ่นควรมีอำนาจในการจัดการตนเอง
ขณะที่นายพรหมศักดิ์ แสงโพธิ์ แกนนำกลุ่มบ้านชุ่มเมืองเย็นให้ความเห็นว่า การจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยได้นั้น ควรเริ่มจากการยอมรับมติประชาคมในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อน เมื่อยอมรับในมติประชาคมแล้ว ปัญหาความขัดแย้งก็จะมีทางออก โดยฝ่ายที่ชนะต้องให้พื้นที่กับฝ่ายที่แพ้ในทางการเมืองด้วย ต่อจากนั้นต้องดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้ความจริงต่างๆ ปรากฏและเกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนในระยะยาวทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจให้ประชาชน
ด้านนายชำนาญ จันทร์เรือง กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในกระแสของความเปลี่ยนแปลง การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งและความรุนแรงที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทุกฝ่าย
ดังนั้น จึงควรใช้การเลือกตั้งครั้งนี้ให้คุ้มค่า ด้วยการเรียกร้องให้พรรคการเมืองและประชาชนเห็นความสำคัญของการกระจายอำนาจ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาของประเทศได้มากกว่าการนำเสนอนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองทำอยู่ในเวลานี้
โดยจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้บริหารจัดการตนเอง ทั้งการจัดรูปแบบการปกครองตามเจตนารมณ์ของท้องถิ่นบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ยกเลิกโครงสร้างระบบบริหารราชการในส่วนภูมิภาคที่ทำให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง และกระจายทรัพยากรงบประมาณด้วยการให้โอกาสท้องถิ่นได้จัดเก็บงบประมาณไว้กับตนเอง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น ลดการกระจุกตัวของปัญหาเข้าสู่ส่วนกลาง และให้ประชาชนได้มีอำนาจในการตัดสินและพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ด้วยตนเอง และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง