xs
xsm
sm
md
lg

ผู้เชี่ยวชาญเผยไอคิวเด็กต่ำ-พัฒนาการสมวัยลดเหตุขาดไอโอดีน ชี้ ปัญหาใหญ่ของประเทศต้องเร่งแก้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สสจ.เชียงใหม่จัดสัมมนาเรื่องป้องกันขาดสารไอโอดีน หวังสร้างความเข้าใจให้สื่อ หลังคนไทยเข้าใจผิดเรื่องไอโอดีนมานาน ผู้เชี่ยวชาญเผย แค่เกลือทะเลไม่พอ ต้องเพิ่มไอโอดีนลงไป แจงที่ผ่านมาการทำงานไม่ต่อเนื่อง-ประชาชนไม่สนใจ ทำการรณรงค์ไม่ได้ผล ย้ำ ขาดไอโอดีนปัญหาใหญ่ต้นเหตุโรคเอ๋อ ทำประชากรไม่พัฒนา ชี้ ตัวเลขไอคิวเด็กไทยต่ำ-พัฒนาการสมวัยลดเป็นสัญญาณอันตรายต้องเร่งส่งเสริม

วันนี้ (20 มิ.ย.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดการสัมมนาเรื่อง “การป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน และการเพิ่มไอโอดีนเพิ่มไอคิว” ขึ้น ณ ห้องประชุมนพเก้า โรงแรมดิ เอ็มเพรส อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและสื่อมวลชนเข้าร่วม
การสัมมนาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรณรงค์ เนื่องในโอกาสวันไอโอดีนแห่งชาติ ในวันที่ 25 มิ.ย.

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านไอโอดีนของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากการจัดสัมมนาแล้ว ในวันที่ 24 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่จะจัดให้มีกิจกรรมรณรงค์พร้อมกันในทุกอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

นายสง่า ดามาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าวในการสัมมนาดังกล่าว ว่า คนไทยมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกับไอโอดีน กล่าวคือ เข้าใจว่า ในเกลือทะเลจะมีสารไอโอดีนเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วปริมาณไอโอดีนที่มีอยู่ในเกลือทะเลมีน้อยมาก

ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องเติมสารไอโอดีนลงไปในเกลือ เพราะเกลือถือเป็นอาหารที่คนส่วนมากเข้าถึงได้ง่ายที่สุด ต่างจากอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีนเช่นกัน แต่มีราคาแพง ประชาชนบางส่วนไม่สามารถซื้อหามาบริโภคได้เป็นประจำ รวมทั้งต้องบริโภคอย่างสม่ำเสมอ และในปริมาณมากเพื่อให้ได้สารไอโอดีเพียงพอ

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา แม้จะมีการรณรงค์ให้เติมสารไอโอดีนลงในเกลือบริโภคแล้ว แต่ปรากฏว่า ผู้ผลิตหลายรายไม่ได้ปฏิบัติจริง ทำให้เกลือที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดบางส่วนไม่มีสารไอโอดีนอยู่จริง อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2553 แล้วว่า เกลือ น้ำปลา น้ำปลาผสม และซอสปรุงรสต่างๆ ต้องเสริมไอโอดีนตามปริมาณที่กำหนด โดยองค์การอาหารและยาได้ทำการสุ่มตรวจ นับตั้งแต่มีการออกประกาศ เพื่อติดตามว่า ยังมีผู้ประกอบการรายใดไม่ปฏิบัติตามกฎดังกล่าว เนื่องจากหากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตามกฎหมาย

นายสง่า กล่าวว่า การที่ประเทศไทยยังต้องมีการรณรงค์ป้องกันการขาดสารไอโอดีน ทั้งที่เคยมีการณรงค์ให้บริโภคสารไอโอดีน เพื่อป้องกันปัญหาคอพอกมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นเพราะว่า 1.ที่ผ่านมา มีการดำเนินการไม่ต่อเนื่อง เรื่องไอโอดีนไม่เคยถูกประกาศเป็นนโยบายที่ชัดเจน 2.ยังไม่สามารถสร้างกระแสให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวในเรื่องไอโอดีนได้มากพอ และ 3.มาตรการที่ใช้ยังเน้นหนักไปที่การใช้เกลือผสมไอโอดีนอย่างเดียว แต่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพเกลือได้ แต่เมื่อมีการประกาศกฎหมายที่เกี่ยวข้องออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจึงต้องมีการณณงค์อย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขาดไอโอดีน

นายสง่า กล่าวต่อไปว่า ไอโอดีนถือเป็นสารสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับสติปัญญาของมนุษย์ เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนธัยร็อกซินในต่อมธัยรอยด์ ซึ่งมีผลต่อการสร้างใยสมอง หากทารกไม่ไดรับสารไอโอดีนเพียงพออาจเป็นโรคเอ๋อ ทำให้มีพัฒนาการล่าช้า นอกจากนี้จากการสำรวจไอคิวของเด็กไทยโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ปี 2551-2552 พบว่า ไอคิวเฉลี่ยของเด็กไทยอยู่ที่ 91 จุด แม้จะอยู่ในเกณฑ์ของค่าไอคิวเฉลี่ยปกติซึ่งอยู่ที่ 90-110 จุด

แต่ก็ถือว่าน้อยหากเทียบกับประเทศอื่น ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจพัฒนาการเด็กในอายุต่ำกว่า 5 ปี ของกรมอนามัย พบว่า พัฒนาการสมวัยลดลง นอกจากนั้น การตรวจทารกแรกเกิดยังพบว่ามีภาวะพร่องธัยรอยด์ฮอร์โมน 11.2 มิลลิยูนิตต่อลิตร สูงขึ้นร้อยละ 15.2 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าปัญหาการขาดแคลนสารไอโอดีนทำให้คนไทยมีปัญหาด้านการพัฒนาระดับสติปัญญา ซึ่หากปล่อยไปจะส่งผลต่อคุณภาพของประชากรและการพัฒนาประเทศ

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น นายสง่า กล่าวว่า ต้องทำควบคู่กันในหลายด้าน โดยนอกจากจะเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการได้รับสารไอโอดีน เพื่อให้ประชาชนสามารถบริโภคอาหารที่มีสารไอโอดีนได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังได้ทำการตรวจสอบกลุ่มหญิงตั้งครรภ์เพื่อให้ยาเม็ดเสริมไอโอดีน และการเจาะเลือดจากส้นเท้าเพื่อหาระดับฮอร์โมนธัยรอยด์ เพื่อให้การรักษาในรายที่มีความผิดปกติ

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินโครงการให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านทำหน้าที่เป็นทูตไอโอดีนในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อควบคุมปัญหาการขาดไอโอดีน และหมู่บ้านใดที่สามารถดำเนินการได้เป็นผลสำเร็จก็จะได้รับการประกาศให้เป็นหมู่บ้านไอโอดีน ซึ่งในขณะนี้สามารถดำเนินการไปได้แล้วกว่า ร้อยละ 30 โดยกระทรวงตั้งเป้าจะดำเนินการให้ครอบคลุมในทุกหมู่บ้านของประเทศไทยภายในสิ้นปีนี้

กำลังโหลดความคิดเห็น