ศรีสะเกษ - “เฒ่าจิ๋ว” แถอ้างเหตุเผ่นหนี “พรรคเสื้อแดง” ปัดขัดแย้ง แต่เห็นโจมตีเบื้องบน ชี้ กลุ่มคนเสื้อแดงจะถูกทำลายแน่นอน เชื่อ พฤติกรรมขัดหลักการสร้างความเติบโตไปสู่ความสำเร็จ ชี้ ต้องให้ตัวเรา หรือขบวนการโดยเฉพาะประชาชนใหญ่ที่สุด แล้วกำหนดศัตรูให้เล็กที่สุด แต่ตรงนี้กลับกำหนดศัตรูให้ใหญ่ที่สุด แต่ตัวเองเล็กลง
วันนี้ (18 มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ศาลาการเปรียญวัดเขวาน้อย ต.ยางชุมน้อย อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วย นายไชยยงค์ รัตนวัน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ศรีสะเกษ เขตเลือกตั้งที่ 8 พรรคความหวังใหม่ (ควม.) ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง การพัฒนาด้านการเกษตร ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง จัดโดย กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดง-กระเทียม และข้าวหอมมะลิ อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ โดยมีประชาชนในเขต อ.ยางชุมน้อย มารับฟังการบรรยายเป็นจำนวนมาก
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ต้องเดินทางมาพบปะกับพ่อแม่ พี่น้อง ประชาชนชาว อ.ยางชุมน้อย ในวันนี้ เพราะตนยังทำภารกิจที่ได้ตั้งใจไว้ว่า เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดที่ยังทำไม่สำเร็จ ตนดีใจมากที่ได้มาเยี่ยมพี่น้องอีกครั้งหนึ่ง เหมือนได้กลับมาบ้าน ซึ่งได้รับการร้องขอจากพี่น้องประชาชนชาว อ.ยางชุมน้อย ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรคนอีสานที่มีความยากจน และยังขาดสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตอีกหลายต่อหลายอย่างอยู่ เพราะเป็นหน้าที่ของตน ซึ่งเป็นลูกและมีสายเลือดของคนอีสาน จึงต้องกลับมาทำภารกิจในด้านนี้ให้ได้ และเมื่อใดที่ตนทำให้พ่อแม่พี่น้องหลุดพ้นจากความยากจน และมีความสุขได้ นั่นคือ สิ่งที่ตนปรารถนาเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิต
พล.อ.ชวลิต กล่าวต่อว่า จึงขอบอกว่า ภารกิจหน้าที่นี้ คือ ภารกิจสุดท้ายแห่งชีวิต และได้บอกกับทุกคนที่เป็นพี่น้อง เพื่อนฝูงทุกคนว่า เราต้องเสียสละ เวลาที่เหลืออยู่ก็จะช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอีสานบ้านของตน ให้มีความเจริญก้าวหน้าให้ได้ เกษตรกรคนไทยต้องขี่รถเก๋งให้ได้ ต้องส่งลูกหลานไปเมืองนอกให้ได้ เราเป็นเกษตรกร เป็นกระดูกสันหลังให้กับประเทศแห่งนี้ สร้างความยิ่งใหญ่ในอดีตมาตลอดเวลาเป็นร้อยๆ พันๆ ปี วันนี้เป็นวันที่ประเทศไทยตกต่ำที่สุด ตนอยากจะบอกว่า เป็นปัญหาที่ยังแก้ไขกันไม่ได้ และที่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตนต้องกลับมาทำงานอีก
นอกจากนี้ ปัญหานี้ก็คือ เมืองไทยและสังคมไทยทุกวันนี้มีแต่การทะเลาะเบาะแว้งกัน พี่น้องคงจำได้ว่าเมืองไทยนี้มีความขัดแย้งทางสังคมมาโดยตลอดเวลา แต่ได้แก้ไขกันมา ครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ 10-20 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งในสังคมไทยขึ้นสู่จุดสูงสุด มีพี่น้องคนไทยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอีสาน ซึ่งคนอีสานเป็นคนที่สัตย์ซื่อ เป็นคนที่มีความจริงใจ เป็นคนที่เสียสละ และเป็นคนที่มีความรู้สึกที่ไวต่อความอยุติธรรมในสังคมมากที่สุด ถ้าสังเกตดูในอดีตที่ผ่านมา หากว่ายังมีเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งกับผู้ปกครองในบ้านเมืองทีไร ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ประพฤติไม่ถูกต้อง ผู้ปกครองไม่สามารถสร้างความสุขให้กับพ่อแม่พี่น้องได้ ผู้ปกครองมีการคอร์รัปชั่น ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง คนอีสานจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ลุกขึ้นมาสู้กับความอยุติธรรมมาตลอด ครั้งสุดท้ายลุกขึ้นมาและหนีเข้าไปในป่า จับปืนขึ้นต่อสู้มา 20 กว่าปี
พล.อ.ชวลิต กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องพูดเรื่องนี้ เพื่อที่จะให้พ่อแม่พี่น้องรู้สึก และคนทั้งแผ่นดินนี้ให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนอีสานบ้านเรา คนอีสานเป็นกลุ่มเดียวที่มีความไว และมีปฏิกิริยาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรม เป็นการต่อต้านการปกครองที่ไม่ได้เอื้ออาทรให้กับคนส่วนใหญ่ ตนใช้เวลามา 4 ปีเต็มๆ ที่ขึ้นมารับผิดชอบด้านนี้ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตนคิดว่าแก้ปัญหาได้สำเร็จแล้ว เอาความสันติสุข เอาความสงบสุขมาแผ่นดินนี้
“ตนนึกไม่ถึงว่าในวันนี้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้อีก และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในวันนี้หนักหนาสาหัสมากกว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อ 10-20 ปีก่อน เมื่อก่อนนั้นยังเป็นความขัดแย้งของกลุ่มคนบางกลุ่ม บางคน แต่วันนี้ความขัดแย้งในสังคมไทยเข้าไปถึงบ้าน ครัวเรือน พี่กับน้อง พ่อกับแม่ สามีกับภรรยา ทะเลาะกัน คนนี้สนับสนุนเสื้อสีหนึ่ง คนนั้นสนับสนุนเสื้ออีกสีหนึ่ง มีการทะเลาะกัน มีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด นี่คือความเจ็บปวดที่ตนจำเป็นต้องกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเข้าไปแก้ปัญหานี้ให้จงได้” พล.อ.ชวลิต กล่าว
อดีตประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า เมื่อตนกลับเข้ามา ก็ได้ถามพ่อแม่พี่น้องว่า จะให้ตนไปอยู่กับพรรคการเมืองไหน เพื่อมาแก้ไขปัญหา ทุกคนชี้ไปที่เดียวเลย คือ พรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีความปรารถนาจะไปแก้ปัญหาในเรื่องการเมือง การปกครองที่ไม่เป็นธรรม กลุ่มคนเสื้อแดงนี้ จะต้องเติบโตขึ้นทุกวัน ซึ่งการเติบโตของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นสิ่งที่ตนต้องให้การดูแล เพราะตนรู้ดีว่าการเติบโตของกลุ่มคนเสื้อแดงเติบโตแล้วเดินไปในแนวทางที่ผิด จะเกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงของสังคมมีแน่นอน สรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่คงที่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ตนได้บอกไปหลายที่ว่าสังคมไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงแน่นอนที่สุด แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธี ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี แต่ต้องรักษาสถาบันที่เราเคารพบูชาไว้ เพราะเป็นสถาบันที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อบ้านเมืองมาโดยตลอด นี่คือสิ่งที่ตนเข้าไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคเสื้อแดง เพราะพี่น้องประชาชนเป็นชี้ให้ตนเข้าไปอยู่
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า ตนเข้าไปเพื่อนำความคิดไปชี้นำความคิด ไปพยายามทำให้เขาเติบใหญ่ พยายามทำให้เขาเข้าใจในเรื่องมหาชน หรือปวงชน มีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างไร ตนทำได้สำเร็จ ทำสำเร็จไปได้ปีกว่า แต่มามีปัญหาตอนหลังนิดหน่อย ปัญหาที่ตนต้องออกมาจากสีแดง ไม่ได้ออกมาเพราะความขัดแย้ง แต่ออกมาเพราะต้องการรักษาบุคคลเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรักสันติ เป็นคนที่ต้องการสันติ เป็นคนที่ต้องการแต่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองไปสู่การเมืองของประชาชน ไปสู่การเมืองที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ไปสู่การเมืองที่ไม่มีความอยุติธรรม มีความถูกต้อง มาตรฐานเดียว ไม่ใช่สองมาตรฐาน
นั่นคือ สิ่งที่ตนออกมาเพื่อรักษาสิ่งนี้ เพราะเริ่มมีการเข้าไปโจมตีอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด เช่น โจมตีทหาร โจมตีกองทัพ โจมตีหน่วยงานราชการบางหน่วย โจมตีอำมาตย์ และโจมตีไปถึงข้างบน อีกด้วย
“การที่เราจะไปเติบโต การเติบโตนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีเพื่อน หลักการก็มีอยู่ว่า ระหว่างการสร้างความเติบโตไปสู่ความสำเร็จ ต้องให้ตัวเราหรือขบวนการพวกเรา โดยเฉพาะประชาชนใหญ่ที่สุด แล้วกำหนดศัตรูให้เล็กที่สุด แต่ตรงนี้กำหนดศัตรูให้ใหญ่ที่สุด แต่ตัวเราเล็กลง ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงจะถูกทำลายแน่นอน” พล.อ.ชวลิต กล่าว