อุดรธานี - “ปุระชัย” หาเสียงท่ามกลางสายฝนที่อุดรฯ ทำเป็นไขสือ! บอกไม่ต้องพูดถึงทักษิณ เพราะไม่ได้ลงทั้งระบบบัญชีรายชื่อ-ระบบเขต คนที่อยู่ในสนามเลือกตั้งเท่านั้นที่จะต้องพูดถึง อดีตก็ปล่อยให้เป็นอดีต ให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมไป มั่นใจพร้อมเป็นผู้นำไทย
ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุดรธานี รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.ค่ำวานนี้ (2 มิ.ย.) ศ.ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ หัวหน้าพรรครักษ์สันติ พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดอุดรธานี ได้เดินทางมาช่วยลูกพรรคหาเสียงที่จังหวัดอุดรธานี
เมื่อ ศ.ร.ต.อ.ปุระชัย เดินทางมาถึงได้เดินพบปะ พร้อมกับแจกบัตรแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อให้กับประชาชนและบริเวณเต็นท์นวดแผนไทยด้านข้างสวนสาธารณหนองประจักษ์ศิลปาคม ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก โดยคณะใช้เวลาเดินพบปะไม่นานก็เดินทางกลับที่พัก
โดยในเช้าวันนี้ (3 มิ.ย.) ศ.ร.ต.อ.ปุระชัย พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ศักดิ์ศิริ ศิริกุล ผู้สมัครเขต 1 พรรครักษ์สันติ ได้เดินหาเสียงต่อที่ตลาดสดเทศบาลอุดรธานี ซึ่งในเวลาประมาณ 12.00 น.จะได้มีการหาเสียงต่อที่ สภ.เมืองอุดรธานี แล้วก็จะเดินทางไปช่วยลูกพรรคหาเสียงต่อที่จังหวัดกาฬสินธุ์
ศ.ร.ต.อ.ปุระชัย ให้สัมภาษณ์ว่า การเดินทางมาหาเสียงที่จังหวัดอุดรธานี ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง ว่า ทุกจังหวัดของประเทศไทย ก็คือ พื้นที่ของประเทศไทย ตนเองเป็นคนไทยจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ภายใต้ธงไตรรงค์ ประเทศไทยนั้นเป็นหนึ่งเดียวไม่สามารถจะแบ่งแยกได้ ตนสามารถไปได้ทุกพื้นที่ แม้กระทั้งพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อสมัยปี 2544-2545 เมื่อครั้งที่จังหวัดอุดรธานีมีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ สมัยที่ตนเองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้เดินทางมาทำการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองอุดรธานี ทำให้ตนมีความผูกพันอย่างแน่นเฟ้น
นอกจากนี้แล้ว ก็ยังเคยมาจัดระเบียบสังคมที่อุดรธานีอีกด้วย ฉะนั้น ที่นี่ก็คือประเทศไทย
ศ.ร.ต.อ.ปุระชัย ได้กล่าวปฎิเสธว่า ตนไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี บอกแค่ว่า มีศักยภาพพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีความพร้อมในด้านการศึกษา ประสบการณ์มากพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และตนมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่ได้เป็นเพียงแค่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเท่านั้น ว่าจะสามารถเป็นผู้นำของอาเซียนได้
ในส่วนของนโยบายการจัดระเบียบสังคม และการโซนนิงสถานบันเทิงนั้น ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าวว่า ไม่ว่าตนเองจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ก็ยังมีความคิดที่จะนำเอาโครงการจัดระเบียบสังคม และการโซนนิงสถานบันเทิงกลับมาทำใหม่ คราวนี้ก็จะไม่ทำเฉพาะแต่การโซนนิ่งสถานบันเทิงเท่านั้น แต่จะทำการโซนนิ่งเรื่องของการเกษตรกรรมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เคยอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย มาก่อน และขณะนี้พรรคเพื่อไทย มีนโยบายที่จะมีการนิรโทษกรรม และนำเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย คิดอย่างไร ศ.ร.ต.อ.ปุระชัย ตอบว่า ตนไม่เคยอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อน แต่ตนเองเป็นรุ่นพี่ พ.ต.ท.ทักษิณ และช่วยทำพรรคไทยรักไทย ในขณะนั้น
พร้อมกับกล่าวสวนกับสื่อมวลชน ว่า ไม่สมควรที่กล่าวถึงบุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในการแข่งขันคราวนี้ โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนี้อยู่ต่างประเทศ และไม่ได้เป็นผู้สมัครทั้งในบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.เขต สมควรที่จะยกเว้นไม่กล่าวถึง ควรที่จะกล่าวถึงแต่คนที่อยู่ในสนามเลือกตั้งเท่านั้น สิ่งไหนที่เป็นอดีตก็ปล่อยให้เป็นอดีต และให้เป็นเรื่องของขบวนการยุติธรรมไป ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง ก็คือ การก้าวเข้าสู่อนาคตของประเทศ ว่า ในอีก 4 ปี ข้างหน้านี้จะทำอย่างไร ให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง และมีศักดิ์ศรีอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เป็นประเทศที่อ่อนแอและแตกแยก
ส่วนอนาคตพรรครักษ์สันติ จะไปเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า เป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว ต้องรอให้ถึงวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เสียก่อน ว่า พรรคใดจะได้เป็นผู้ที่มีเสียงข้างมาก และกล่าวว่า พรรครักษ์สันตินั้น ขอให้มี ส.ส.ก็เพียงพอแล้ว และจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลพรรครักษ์สันติ ก็พร้อมที่จะทำงานทั้งนั้น พร้อมกับกล่าวว่าการเป็นฝ่ายค้านนั้นเป็นง่าย ไม่จำเป็นต้องขอใครเป็นด้วย
แต่การเป็นฝ่ายรัฐบาลนั้นยาก พรรครักษ์สันติ เป็นพรรคเกิดใหม่การที่จะเป็นรัฐบาลนั้นจะต้องมีคนมาเชิญไป และหากว่ามีคนมาเชิญจริง ก็ต้องดูก่อนว่าเราสามารถทำงานร่วมกับเขาได้หรือไม่ พร้อมกับกล่าวว่า หากเป็นฝ่ายค้านแล้วมีศักดิ์ศรี ก็ยังดีว่าเป็นรัฐบาลแล้วไม่มีศักดิ์ศรี
ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า หากได้รับการเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีปรองดอง จะรับหรือไม่ ร.ต.อ.ปุระชัย ตอบย้ำว่า ตนเองมีศักยภาพพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้นำประเทศนี้ได้ แต่จะมีโอกาสหรือไม่นั้น จะต้องรอวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ก่อน ตนเองนั้นอยากเห็นประเทศนี้มีความเจริญรุ่งเรือง และพ้นจากความเป็นประเทศด้อยพัฒนา และหวังว่า จะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
วันที่ 3 กรกฎาคมนี้ เวลาตั้งแต่แปดโมงเข้าถึงสามโมงเย็น อนาคตของประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า อยู่ในมือของประชาชนชาวไทย เราต้องออกไปใช้สิทธิในการเลือกบุคคลที่เสนอตัวเข้ามารับใช้ประชาชนมากถึง 40 พรรค จำนวน 1,400 คน ให้เลือก ตนเชื่อว่า ไม่มีใครเลวไปทั้งหมด และไม่ดีไปทั้งหมด แน่นอนว่า ขณะนี้ต้องให้เกียรติกับผู้สมัครทั้งหมดว่าเขาสมัครเข้ามาเพื่อทำงานให้กับประเทศชาติ ประชาชนจึงต้องใช้ข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดโดยเฉพาะคนที่เป็นนักการเมืองอยู่แล้วว่าใครเป็นคนดี ใช่ไหม มีความรับผิดชอบในหน้าที่ไหม โดดประชุมหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกใคร