แม้นาทีนี้ยังไม่มีใครแน่ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ หรือเกิด “อุบัติเหตุ” ขึ้นมาก่อนหรือไม่ แต่เอาเป็นว่ามีหลายคนกำลังเริ่มจดจ่อกับการเลือกตั้งครั้งใหม่กันแล้ว เพราะถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่ามีบรรดา “นักเลือกตั้ง” มากหน้าหลายตาเริ่มเคลื่อนไหวกันคึกคักเรื่อยๆแล้ว
มีข่าวควบรวมพรรคการเมือง ดึง “ก๊วน” ต่างๆ เข้ามาร่วม มีการผนึกกำลังเป็น “ขั้ว” เพื่อต่อรองร่วมจัดตั้งรัฐบาลกันล่วงหน้าตั้งแต่ไก่โห่ พร้อมทั้งมีการประกาศสรรพคุณของตัวเองกันดังลั่น ไม่สนใจว่าชาวบ้านเขาจะรู้สึกอย่างไร จะ “ถ่มถุย” น้ำลายใส่หน้าด้วยความเหยียดหยามหรือไม่
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ถ้าสำรวจหน้าตาและรายชื่อเท่าที่เห็นและคาดว่าจะโผล่ออกมาให้เห็นในอีกไม่ช้านี้ ก็คงจะมีอีกไม่น้อย แต่เพื่อให้เห็นภาพว่ามีใครและพอมีความคาดหวัง ฝากอนาคตได้แค่ไหน เพื่อประกอบการตัดสินใจและทำใจกันก่อนล่วงหน้าไปพลางๆ ก่อน ระหว่างที่กำลังรอขั้นตอนต่างๆ
สำหรับการเมืองในเวลานี้ก็ต้องบอกว่ามีอยู่ 2 ขั้วที่ตั้งประจันกันอยู่นั่นคือ สองพรรคใหญ่ ฝ่ายแรกนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายังต้องการป้องกันแชมป์เสนอ “หน้าหล่อ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่อาจไม่พูดถึงก็คือ “เทพบุตรหน้าดำ” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังต้องการกลับมาเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” อีกรอบเช่นเดียวกัน
หากคนไทยทั้งหลายยังรู้ยังจำรสชาติกรณีต้องยืนเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มเพียงขวดเดียวจนเป็นลม หรือ “พ่อรูปหล่อที่ดีแต่พูด” วันๆดีแต่ยืนเกาะโพเดียมพูดจาลื่นไหล แต่ผลงานสวนทางกับคำพูด หรือหากต้องการให้ผู้นำประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชาที่ต้องพึ่งพาอาศัยเราทุกด้านแต่กลับทำตัว “กำแหง” ย่ำยีศักดิ์ศรีของชาติอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องเลือกคนพวกนี้กลับเข้ามาก็แล้วกัน
ถ้ากว่า 2 ปีที่ผ่านมา คิดว่าทั้งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีภาวะผู้นำ ทำให้บ้านเมืองมีศักดิ์ศรี ทำให้ชาวบ้านรู้สึกภาคภูมิใจมีความสุข ก็ต้องไว้วางใจใช้บริการ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” อีกรอบ เพราะถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์เข้ามามากที่สุดมันก็ต้องหนีไม่พ้นคนหน้าตาแบบนี้เข้ามาเป็นผู้นำในการบริหารประเทศเป็นแน่แท้
ขณะเดียวกัน เราก็อาจได้เห็น “ภาพประวัติศาสตร์” ย้อนกลับมาเป็นคำรบสองนั่นคือ การกอดคอกันระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ เนวิน ชิดชอบ แห่งพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าคนหลังจะถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวการเมืองก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วบทบาทสูงยิ่ง จนที่ผ่านมาถูกเปรียบเทียบให้เห็นในเรื่อง “ลัทธิมาร์ค-เนวิน” มาแล้ว
ส่วนอีกฝากหนึ่งก็คือพรรคเพื่อไทยภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูจากนักโทษหนีคดีทุจริต ทักษิณ ชินวัตร ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยยอมรับยกย่อง แม้ว่า “จะโกงก็ไม่เป็นไร”
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะเสนอใครขึ้นมาเป็นคู่ชิงนายกรัฐมนตรีจากฝั่งตรงข้ามก็ตาม แต่เท่าที่เห็นความเคลื่อนไหวออกมาบ้างแล้วก็มีเพียง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ซึ่งหลายคนก็คาดหมายว่านี่แค่ “ตัวปลอม” ของจริงจะมาในนาทีสุดท้ายนั่นคือ น้องสาว “เจ้าของ” พรรคคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรมันก็คงไม่หนีไปจากคนพวกนี้หรอก
ส่วนรายอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มีทั้งประเภทตัวสอดแทรก และเป็นประเภท “ฉวยโอกาส” รอส้มหล่นฉวยจังหวะเข้ามาสวมรอยในช่วงชาวบ้านกำลังเซ็งไม่ว่าจะหันไปทางซ้ายหรือขวาระดับความ “สะอิดสะเอียน” พอๆ กัน
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นก็ต้องนำเสนอบุคคลและพรรคที่เหลือที่ซุ่มรอเข้ามาแทรกนั่นคือ พรรคประชาสันติ ที่กำลังชู ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ที่เคยมีผลงานในเรื่องจัดระเบียบสังคม แต่อย่างไรก็ดี ผลงานทั้งในช่วงเป็น มท.1 ต่อเนื่องมาจนถึงยุคที่เป็นกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ผู้ทรงคุณวุฒิได้ถูกวิจารณ์ในเรื่องของการ “เล่นพวก” คนใกล้ชิดสร้างปัญหา หรือแม้แต่กรณี “รวมหัว” ยืนเคียงข้าง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “ขาใหญ่” ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ตรงนี้เองที่ทำให้ “ความดี” ที่สังคมเคยยึดถือถูกตั้งคำถามว่า “ดีจริงหรือไม่”
นอกจากนี้ยังมีอีกคนหนึ่งที่กำลังเคลิบเคลิ้มฝันไปกับแนวทางรัฐบาล “ปรองดองแห่งชาติ” ก็คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาของ บรรหาร ศิลปอาชา แม้ว่าเป้าหมายของเขาเพียงแค่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว เพียงแค่ไม่กี่เดือนเพื่อมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้นักการเมืองพ้นความผิด โดยอ้างคำพูดที่ดูดีว่า “ให้เลิกแล้วต่อกัน” แต่เป้าหมายลึกๆก็เพื่อช่วย ทักษิณ ชินวัตรให้พ้นผิดและกลับมาสู่วงการเมืองได้อีกรอบ ซึ่งตอนนี้ก็เดินเกมในทางลึกประสานสิบทิศเพื่อรวบรวมนักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งเก่าใหม่เข้ามาร่วมเส้นทางสายนี้ ถ้าทำได้ก่อนตายถือว่า “ตาหลับ” แล้ว
นั่นเป็นรายชื่อและหน้าตาของ “นักเลือกตั้ง” เท่าที่ปรากฏให้เห็นว่าจะเข้ามาเป็นผู้นำ เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง (หากมีขึ้นจริง) แม้ว่าบางคนยังมีท่าทีเหนียมอาย ไม่กล้าประกาศออกมากันให้ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็คงหนีไม่พ้นคนพวกนี้แน่นอน อย่างมากก็อาจมีการโผล่เข้ามาเพิ่มเติม แต่คงไม่มีความหมายมากนัก
ดังนั้น ในช่วงที่กำลังเซ็งๆกับบรรยากาศการเมือง และกำลังรอขั้นตอนทางกฎหมายก่อนเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ก็ลองพิจารณารายชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือคนเก่าที่อาจจะกลับมาอีกรอบไปพลางก่อนว่ารับได้แค่ไหน และจะมีความสุขมากขึ้นหรือไม่หากได้เห็นหน้าคนพวกนี้กลับเข้ามามีอำนาจ!!