นครพนม - ชาวนครพนมร้องทุกข์ถูกนายทุนหนี้นอกระบบ ขูดดอกโหด พร้อมโกงตัวเลขเงินต้นแบบหน้าด้านๆ เหมือนในละครไทย ดีเอสไอลุยถึงที่ตรวจสอบข้อมูล พบชาวบ้านเดือดร้อนที่เป็นเหยื่อนายทุนหน้าเลือดมากถึง 28 ราย และมีนายทุนเงินกู้คนเดียวกัน ยอดหนี้รวมแล้วกว่า 20 ล้าน สลด! หนึ่งในเหยื่อหนี้นอกระบบเป็นยายวัย 81 ปี ถูกรีดดอกร้อยละ 15 ต่อปี เงินต้นในสัญญากู้แค่ 2 แสน แต่ถูกเปลี่ยนตัวเลขสูงถึง 4 ล้านบาท ถูกฟ้องบังคับคดีไล่ออกจากที่ดินจนกลายเป็นคนเร่ร่อน
เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ดีเอสไอ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม พร้อมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดนครพนมเพื่อตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์และตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องหนี้นอกระบบ
หลังจากได้รับการร้องเรียนไปยัง ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรมว่าชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดนครพนม เดือดร้อนจากปัญหานายทุนหนี้นอกระบบจำนวนมาก
ทั้งนี้ ได้มีชาวบ้านจำนวน 28 ราย นำหลักฐานเข้ามาร้องเรียนขอความเป็นธรรม จากปัญหากู้หนี้นอกระบบจากนายทุนที่มีการรีดดอกเบี้ยโหด จนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้อง บังคับคดียึดที่ดินซึ่งมียอดตัวเลขหนี้ที่เป็นปัญหาร่วม 20 ล้าน จากนายทุนคนเดียวกัน
โดยเฉพาะ คุณยายบังอร ค่ำคูณ อายุ 81 ปี ชาวบ้าน ต.หนองญาติ อ.เมืองจ.นครพนม ที่มีปัญหาหลังจากกู้ยืมเงินจากนายทุนไปรวมประมาณ 200,000 บาท พร้อมมีการนำโฉนดที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่กลับถูกฟ้องให้ชดใช้หนี้รวม 4 ล้าน บวกดอกเบี้ยอีก 2.4 ล้าน ในระยะเวลาประมาณ 10 ปี จนล่าสุดถูกฟ้องบังคับคดีขายที่ดิน พร้อมบ้านทอดตลาด ในราคาประมาณ 1 ล้านบาท และต้องชดใช้ในส่วนที่เหลือ อีกทั้งยังถูกไล่ที่จนไม่มีที่พักอาศัย กลายเป็นคนเร่ร่อน
นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านอีกหลายราย ที่มีปัญหาถูกฟ้องร้องจากการไปกู้ยืมเงินจากนายทุนคนเดียวกัน ในยอดหนี้ที่ไม่ได้ยืมจริงแต่กลับมีสัญญากู้ยืม โดยส่วนใหญ่จะมาจากการกู้ยืมเงินเพื่อให้ลูกหลานนำไปจ่ายค่าหัวคิวไปทำงานต่างประเทศที่มีการบวกดอกเบี้ยโหดหลายเท่าตัว
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐาน ทำการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากได้มีชาวบ้านได้ร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาหนี้นอกระบบที่ไม่เป็นธรรม จึงได้นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเดินทางมารับเรื่องร้องเรียน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งพบมีชาวบ้านจำนวน 28ราย หอบหลักฐานเข้าร้องเรียน มียอดหนี้ที่เป็นปัญหาร่วม 20 ล้าน
ส่วนใหญ่ในสัญญาจะมีการบวกดอกเบี้ยโหดรวมเป็นเงินกู้เลี่ยงกฎหมาย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเป็นนายทุนคนเดียวกันทั้งหมด แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ โดยเฉพาะ คุณยายบังอร ค่ำคูณ วัย 81 ปีเป็นรายที่น่าสนใจ เนื่องจากพบหลักฐานที่ร้องเรียนมีการทำสัญญากู้ยืมทั้งหมด 4 ล้านบาท เมื่อปี 2540 พร้อมมีโฉนดที่ดิน น.ส.3 จำนวน 1 ไร่ 1 งาน ติดถนนนครพนม - สกลนคร เขตพื้นที่ บ.ภูเขาทองต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม จดทะเบียนจำนองเพื่อประกันหนี้ในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อปี
แต่เจ้าตัวยืนยันว่ามีการกู้ยืมไปครั้งละประมาณ 10,000 บาท รวม 2 แสนบาทเท่านั้น แต่พอถูกฟ้องร้องกลับพบว่าสัญญากู้ระบุจำนวนเงินถึง 4 ล้านโดยหลังจากถูกฟ้องร้องคุณยายก็ไม่ได้มีโอกาสไปศาล ขาดนัดพิจารณาทำให้มีการพิพากษาฝ่ายเดียว เพราะไม่มีญาติพี่น้องช่วยเหลือ
ล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 ศาลได้พิพากษาให้ชดใช้หนี้ จำนวน 4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 2.4 ล้านบาท และมีการบังคับคดีฟ้องขับไล่ออกจากที่ดิน และบ้านพักอาศัย ในปี 2553 จนไม่มีที่อยู่อาศัยกลายเป็นคนเร่ร่อน ส่วนที่ดินมีการประกาศขายทอดตลาดในราคา 1.3 ล้านบาท จากราคาประเมิน 1.2 ล้าน ซึ่งโจทก์ที่เป็นนายทุน เป็นผู้ซื้อ ซึ่งในการช่วยเหลือทุกรายจะต้องเข้าไปตรวจสอบช่วยเหลือ ทั้งรายที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง
รวมถึงที่มีการพิจารณาสิ้นสุดแล้วและการเอาผิดนายทุนนั้นต้องดูเรื่องกฎหมาย เพราะเอกสารการฟ้องร้องส่วนใหญ่จะถูกต้อง มีการเลี่ยงความผิดเป็นอย่างดี เนื่องจากชาวบ้านไม่รู้เรื่องกฎหมายก็จะต้องหาหน่วยงานภาครัฐเข้าไปเยียวยา ช่วยเหลือพร้อมดำเนินการตามกฎหมายเพื่อหาช่องทางจะเข้าไปตรวจสอบการทำธุรกิจของนายทุนเหล่านี้
ขณะเดียวกัน นายขำ คนฉลาด อายุ 68 ปี ชาวบ้านเหล่าภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม กล่าวว่า สำหรับปัญหาของตนเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2552 ได้ไปกู้ยืมเงินจากนายทุนคนหนึ่ง หลังจากมีนายหน้ามาติดต่อให้ลูกสาวไปทำงานประเทศเกาหลี จึงได้นำที่ดิน น.ส.3 จำนวน 36 ไร่ ไปทำสัญญาประกันในการกู้ยืมเงิน จำนวน 580,000 บาท ตามสัญญากู้ยืม แต่รับจริงแค่ 520,000 บาท ที่เหลืออีก 6 หมื่นบาท เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้า และกำหนดให้ชำระเดือนละประมาณ 14,000 บาท จนกว่าจะหมด
แต่พอลูกสาวเดินทางไปเกาหลี กลับถูกส่งตัวกลับ เพราะเดินทางไปไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้เกิดปัญหาเป็นหนี้สินไม่มีเงินไปชำระนายทุน จนกระทั่งล่าสุดถูกฟ้องร้อง เมื่อเดือนเมษายน 2554และมีสัญญาที่ไม่ได้ยืมมาเพิ่มอีกว่าเป็นหนี้ 870,000 บาท โดยตนเชื่อว่าเป็นการกระทำเป็นขบวนการ หลอกลวงชาวบ้านจึงต้องมาร้องขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานเกี่ยวข้อง