xs
xsm
sm
md
lg

“ทภ.2” ยันเขมรเหิมล้ำแดนยิงถล่มไทยก่อน เหตุปะทะเดือดชายแดนสุรินทร์ 5 ชม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “พ.อ.ประวิทย์” โฆษกกองทัพภาค 2 ยัน เหตุปะทะเดือดชายแดน “ตาควาย-ตาเมือนธม” เกิดจากทหารเขมรเหิมรุกล้ำดินแดน และเปิดฉากยิงถล่มไทยก่อน ทำปะทะนาน 5 ชม.“มทภ.2” โทร.เจรจาบิ๊กทหารเขมร เสียงปืนจึงสงบ เบื้องต้นทหารไทยเสียชีวิต 3 เจ็บ 13 นาย กระสุนปืนใหญ่เขมรถล่มบ้านราษฎรไทยพังยับ เผย มทภ.2 สั่งทหารไทยรักษาฐานที่มั่นให้เข้มแข็ง พร้อมตรึงกำลังเข้มตลอดแนวชายแดน

วันนี้ (22 เม.ย.) พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ ว่า สาเหตุการปะทะกันระหว่างทหารไทย และทหารกัมพูชา ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน ปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก ต่อเนื่อง ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตั้งแต่เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น.ของวันนี้นั้น สืบเนื่องจากทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในเขตดินแดนไทย พร้อมใช้อาวุธยิงเข้าใส่ทหารของไทย ขณะที่ลาดตระเวนอยู่ในฐานที่มั่นฝั่งไทยก่อน ทำให้ต้องมีการผลักดันทหารกัมพูชาออกไปจากดินแดน แต่ทางกัมพูชากลับใช้ทั้งอาวุธเบา และ อาวุธหนัก เช่น ปืนไร้แรงสะท้อนย้อนหลัง ปืน ค.60 และปืนใหญ่ ยิงเข้ามาในเขตไทย ทำให้ทหารไทยต้องยิงตอบโต้

จากนั้นการสู้รบตามแนวชายแดนได้ขยายพื้นที่ต่อเนื่องไปจนถึง ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เป็นเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง กระทั่งเวลา 10.20 น.เสียงปืนได้สงบลง เนื่องจากได้มีการประสานงานให้มีการหยุดยิงร่วมกันทางโทรศัพท์ ระหว่าง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) กับ นายทหารระดับสูงของฝ่ายกัมพูชา

พ.อ.ประวิทย์ กล่วต่อว่า จากเหตุปะทะครั้งนี้ จากรายงานพบว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 13 นาย เสียชีวิตเบื้องต้น 3 นาย โดยผู้ได้บาดเจ็บทั้ง 13 นาย ขณะนี้เข้ารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก 3 นาย, โรงพยาบาลสุรินทร์ 6 นาย และ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดทหารบกสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ 2 นาย และ แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว 2 นาย โดยทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการปะทะในครั้งนี้ทางกองทัพมีระเบียบในการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่แล้ว

“เมื่อมีกองกำลังทหารกัมพูชารุกล้ำดินแดน และอธิปไตยของประเทศไทย พร้อมใช้อาวุธยิงโจมตีก่อน ทหารไทยเราจำเป็นต้องมีการตอบโต้กลับตามขอบเขตแนวปฏิบัติ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยและเปิดฉากยิงทหารไทยก่อนนั้นยังไม่สามารถระบุได้ เพราะฝ่ายกัมพูชานั้น การกระทำต่างๆ มักขึ้นอยู่กับผู้นำประเทศเป็นหลัก” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว

พ.อ.ประวิทย์ กล่าวต่อว่า ล่าสุด แม้เสียงปืนจะสงบลงแล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังถือว่าสถานการณ์ยังไว้วางใจไม่ได้ เนื่องจากเกรงว่าจะซ้ำรอยกับเหตุการณ์ปะทะกันที่ชายแดนด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อ ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเจรจาหยุดยิงในตอนเช้า แต่ตอนเย็นกัมพูชายิงปืนใหญ่เข้าใส่ทหารไทยอีก ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท จึงต้องมีการตรึงกำลังเตรียมความพร้อมตลอดแนวชายแดน แต่ฝ่ายไทยยังไม่มีการเสริมกำลังทหาร พร้อมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์แต่อย่างใด เพราะกำลังที่อยู่ในพื้นที่นั้นมีเพียงพออยู่แล้ว

นอกจากนี้ ในวันนี้ (22 เม.ย.) พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ได้เดินทางด่วนลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์การสู้รบ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ดังกล่าว พร้อมกำชับทหารทุกนายที่อยู่ตามแนวชายแดนหากอยู่ในที่ตั้งให้ตรวจพื้นที่ตลอดเวลา และให้ยึดฐานที่มั่นของตัวเองอย่างเข้มแข็ง เพราะการปะทะที่ผ่านมาฝ่ายเขมรได้ใช้อาวุธหนักโจมตีเข้ามาในเขตแดนไทยโดยตลอด

พ.อ.ประวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับการอพยพประชาชนตามหมู่บ้านแนวชายแดนออกมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย นั้น ทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ตั้งศูนย์อพยพชั่วคราวเพื่อรองรับประชาชนแล้ว 7 แห่ง อยู่ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก 4 แห่ง และ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ 3 แห่ง ล่าสุด ได้เร่งอพยพประชาชนเข้ามาอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพชั่วคราวทั้ง 7 แห่ง รวมมากกว่า 2 หมื่นคน และมีรายงานว่า กระสุนปืนใหญ่ของทหารฝ่ายกัมพูชา ยิงเข้ามาตกในหมู่บ้านโคกแสลง และ บ้านสกอ ถูกบ้านเรือนราษฎรเสียหายจำนวน 1 หลัง

“อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทางด้าน จ.สุรินทร์ แม้จะมีการตรึงกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เคยมีความรุนแรง ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ทหารไทยและกัมพูชาเพิ่งร่วมจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาเชื่อมสัมพันธ์กัน และช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาประชาชนชาวไทยและกัมพูชาก็เดินทางเข้ามาร่วมงานประเพณีเยี่ยมเยือนปราสาทตาเมือน เดือนเมษา ครั้งที่ 10 วันที่ 12 เมษายน 2554 กันเป็นจำนวนมาก” พ.อ.ประวิทย์ กล่าว

ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังเป็นปกติไม่มีเหตุการณ์สู้รบเกิดขึ้นแต่อย่างใด ขณะที่ประชาชนชายแดนทั้ง 2 ประเทศ ก็ยังใช้คงชีวิตเหมือนที่ผ่านมาและมีการอพยพออกจากพื้นที่ ซึ่งทหารทั้ง 2 ฝ่ายในพื้นที่ได้พยายามประสานความเข้าใจกันอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่เกิดเหตุความตึงเครียดขึ้น พ.อ.ประวิทย์ กล่าวในตอนท้าย

กำลังโหลดความคิดเห็น