นครปฐม - “สภ.โพธิ์แก้ว” เมืองนครปฐม ยังระทึกหลังปิด “ฟูลมูนผับ” ล่าสุด คนร้ายบุกจี้ร้านทองกลางวันแสกๆ สุดท้ายไปไม่รอด รวบตัวคนร้ายคาร้าน สารภาพหมดหนทางหาเงิน ตัดสินใจปล้นร้านทอง แต่พลาดเจ้าของร้านมีประสบการณ์เคยถูกปล้นมาก่อน เผยผู้ต้องหาจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านบริหาร มาจาก ม.ราม แต่ดันเป็นคนสิ้นคิด
วันนี้ (21 เม.ย.) เวลา 10.20 น. พ.ต.ท.สนั่น ชูสกุล พนักงานสอบสวน สบ2 สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราณ จ.นครปฐม ได้รับแจ้งเหตุมีการปล้นร้านทองอ้อมใหญ่ 1 เลขที่ 21 ม.8 ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับและรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.กษณะ แจ่มสว่าง รองผบก.ภ.จว.นครปฐม รักษาการ ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน พ.ต.อ.ถาวร ขาวสะอาด รองผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.สมเกียรติ แสวงสุข ผกก.1 สส.ภ.7 พ.ต.ท.ปรีชา ทิมหอม รองผกก.ก.สส.ภ.จว.นครปฐม เจ้าหน้าที่สืบสวนจำนวนหนึ่ง
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเป็นอยู่ห่างจากถนนเพชรเกษมฝั่งขาเข้าจังหวัดนครปฐม ประมาณ 100 เมตร เป็นอาคารพาณิชย์มีร้านทองติดกัน พบกำลังเจ้าหน้าที่ประจำตู้ยามติดห้างบิ๊กซี สาขาอ้อมใหญ่ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายกำลังปิดล้อมบริเวณหน้าร้านเพื่อกดดันคนร้ายที่อยู่ภายในร้านซึ่งทราบข้อมูลว่ามีเจ้าของร้านอยู่ภายใน 3 ราย และคนร้ายมีอาวุธปืน จึงทำการปิดถนนและวางแผนเข้าจับกุม
ในขณะเดียวกัน พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผบช.ภ.7 พร้อมด้วย พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผบช.ภ.7 พล.ต.ต.เรวัช กลิ่นเกสร รองผบช.ภ.7 ได้เข้ามาติดตามสถานการณ์ และสั่งการให้มีการเร่งจับกุมคนร้าย กระทั่งราว 20 นาที เจ้าหน้าที่ได้กดดันคนร้ายจากภายนอกจนคนร้ายยอมออกอยู่บริเวณหน้าร้าน และยอมหมอบลงกับพื้นเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าชาร์ตจับกุมตัวได้ทันที โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและมีสูญเสียทรัพย์สินใดๆ
โดยจากการตรวจสอบคนร้าย ทราบชื่อคือ นายนภัทร ศุภศิริกุล อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 35/8 ตรอกเกษมโสภณ แขวงนครชัยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ จากการตรวจค้นพบหนังสือเดินทางประจำตัว 1 เล่ม มีการประทับตราเข้าออกประเทศกัมพูชาหลายครั้งล่าสุด เมื่อได้เข้าไปประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 17 เมษายน และออกมาในวันที่ 18 เมษายน 54 ที่ผ่านมา อาวุธปืนปลอมลักษณะปืนยี่ห้อกล็อก 1 กระบอก อาวุธปืน ขนาด .38 ลูกโม่พร้อมกระสุนจำนวน 5 นัด บัตรประจำตัวพนักงานระบุตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบภายใน บริษัท เอ็มเอส เฟคทอรี่ ย่านบางบอน กรุงเทพฯ 1 ใบพร้อมสาบคล้องคอ จึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวนที่ ส.โพธิ์แก้ว
จากการสอบสวนทราบว่า ร้านทองดังกล่าวเป็นของ นายวิชัย โรจนภิญโญ อายุ 58 ปี เป็นเจ้าของ โดยในช่วงเกิดเหตุบริเวณหน้าร้านกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพคนร้ายที่บุกเข้ามาพร้อมชักอาวุธปืน ให้ นางนฤมล โรจนภิญโญ อายุ 55 ปี ภรรยา ได้เฝ้าที่หน้าร้าน และนายนภัทร ได้เดินชักอาวุธปืนและบอกให้ส่งทองมาให้แต่ นางนฤมล ได้วิ่งไปที่หลังบ้านและกดสัญญาณเตือนภัย ก่อนจะมีการเข้ามาจับกุมคนร้ายได้ดังกล่าว
นางนฤมล อายุ 55 ปี เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุตนเองกำลังยืนจำหน่ายทองอยูที่หน้าร้าน จู่ๆ คนร้ายได้เดินเข้ามาในร้านซึ่งสวมหมวกกันน็อกเดินชักอาวุธปืนเข้ามาหาตน และบอกให้เอาทองคำมา ตนเองตั้งสติและรีบวิ่งไปที่ด้านหลังร้าน ประจวบเหมาะกับที่ลูกชายที่นั่งอยู่ด้านหลังเห็นเหตุการณ์ จึงได้พาตนเองวิ่งหนีไปที่ด้านบนของร้านและเก็บตัวในห้อง
ส่วนคนร้ายได้ปีนรอดแผงกั้นเหล็กที่กั้นไว้หน้าร้านเข้ามาภายใน และเปิดลิ้นชักหยิบอาวุธปืนของทางร้าน ขึ้นไปหาพวกตนที่ชั้น 2 แต่ไม่สามารถเปิดห้องได้ และรื้อค้นของก่อนจะเดินลงมาด้านล่าง และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมากดดันอยู่ภายนอก ซึ่งในช่วงที่วิ่งหนีตนได้กดระบบกันขโมยเอาไว้ทำให้ประตูด้านหน้าล็อก และคนร้ายไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ จึงต้องยอมมอบตัวดังกล่าว
ด้าน นายวิษณุ โรจนภิญโญ อายุ 25 ปี บุตรชาย บอกว่า ช่วงเกิดเหตุตนเองนั่งกินข้าวหลังร้านติดกับที่มารดาขายของ แต่จู่ๆ ก็เกิดสังหรณ์ใจหันไปมองกล้องวงจรปิดจึงได้เห็นเหตุการณ์พอดี จึงวิ่งไปคว้าตัวมารดามาที่หลังร้านและพาขึ้นด้านบนเพื่อหลบหนี และที่ร้านตนเองเคยถูกจี้ทองมาแล้วครั้งหนึ่งจึงตั้งสติได้และคอยดูสถานการณ์จนเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้
พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผบช.ภ.7 เปิดเผยว่า ในการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าคนร้ายมีการเดินทางเข้าออกไปเล่นการพนันในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้งและคราวนี้ได้เล่นจนหมดตัวจึงคิดวนเวียนมาหาที่ปล้นทองเพื่อนนำไปเล่นพนันต่อ แต่ทางพื้นที่ได้มีการเตรียมการในเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงสามารถดำเนินการในการป้องกันและเข้าจับกุมได้ทันที ถือว่ามีประสิทธิภาพ โดยช่วงนี้จะมีการกวดขันในเรื่องนี้ให้ชัดเจนซึ่งก็เป็นการกวดขันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่ทำเป็นหน้าที่หลักอยู่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา พยายามจี้ทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน ซึ่งจะมีการสอบสวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนภัทร นั้นจบการศึกษา ปริญญาตรีด้านบริหารมาจาก ม.ราม และยังเคยได้ทำงานในหน้าที่การงานที่ดี เมื่อตรวจสอบไปยังบริษัท เอ็มเอส แฟคทอรี แล้วพบว่า นายนภัทร นั้น ไม่ได้ทำงานในบริษัทดังกล่าวแล้ว คาดว่า คงเป็นเพราะการติดการพนันจึงทำให้เสียหน้าที่การงานก่อนมาก่อเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ คาดว่า คนร้ายที่มีการศึกษาน่าจะติดตามข่าวของการโยกย้ายไปช่วยราชการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ สภ.โพธิ์แก้ว ที่ นายตำรวจทั้งหมดถูกไปช่วยราชการในคดีฟูลมูนผับ เมื่อไม่กี่วันก่อน และน่าจะไม่มีกำลังตำรวจในการติดตามตัว แต่คิดผิด เพราะพื้นที่ได้มีการวางมาตรการเรื่องการป้องกันการปล้นร้านทองอย่างเหนียวแน่นไว้ก่อนหน้าอยู่แล้ว
ส่วนร้านทองที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550 เคยถูก น.ส.สำไพ ไผ่โสภา อายุ 25 ปี บุกใช้อาวุธปืนปลอมเข้าจี้ชิงทองก่อนถูกนายกิตติ โรจนภิญโญ บุตรชายอีกคนหนึ่งยิงได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้า จึงมีประสบการณ์ในการป้องกันตัวและดูแลชีวิตของคนในร้านและทรัพย์สินทั้งหมดได้