ภายหลังจากที่ “นายพลไม้บรรทัด” พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ผู้ซึ่งไม่เคยมีประวัติ “จับแพะ” ถูกมอบหมายให้เข้ามากุมบังเหียนในคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” พยานหลักฐานต่างๆเริ่มปรากฏชัดขึ้น และในขณะนั้นหลายฝ่ายเชื่อว่า น่าจะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายและผู้บงการได้ไม่ยาก ด้วยฝีไม้ลายมือของนายพลผู้นี้
พยานหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อว่าน่าจะนำไปสู่การปิดคดีนั้นมีทั้งพยานบุคคล วัตถุพยานต่างๆ ตั้งแต่วินาทีเกิดเหตุ จนถึงการเข้ามาควบคุมดูแลคดีของ พล.ต.อ.ธานี ในอีกหลายเดือนต่อมา ซึ่งคงต้องขอย้อนกลับไปดูพยานหลักฐานต่างๆ เหล่านั้นกันอีกครั้ง
พยานบุคคลซึ่งประกอบด้วย คนขับรถ และพนักงานเก็บตั๋ว ขสมก.ประมาณ 4 คน ยืนยันว่า ขณะขับรถตามหลังรถนายสนธิ มาถึงหน้าวัดเอี่ยมวรนุช เห็นรถกระบะไม่ทราบยี่ห้อและรุ่น ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับแซงรถคันเกิดเหตุไปจอดด้านหน้า จากนั้นคนร้ายที่นั่งกระบะท้าย 2 คนลุกขึ้นนั่งแล้วใช้อาวุธสงครามยิงใส่รถนายสนธิ ก่อนที่คนร้ายหลบหนีไป พยานเด็กปั๊๊มที่เห็นเหตุการณ์อีก 2 คน ชุดสืบสวนยังได้พยานปากสำคัญซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่คนร้ายเริ่มลงมือจนเหตุการณ์ยุติ ซึ่งคนร้ายได้พยายามสังหารพยานโดยการยิงใส่ แต่พยานหลบทัน โดยพยานสำคัญได้อยู่ในความคุ้มครองของชุดสืบสวนในเวลาต่อมา
พยานหลักฐานกล้องวงจรปิด CCTV บริเวณแยกบางขุนพรหม ซึ่งใช้ได้บางตัว รวมทั้งกล้องวงจรปิดทั้งหมด 206 กล้อง ในวันเกิดเหตุบริเวณแยกต่างๆ ตั้งแต่บริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล เช่น แยกวังแดง แยกสวนมิสกวัน แยกพระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ธนาคาร และทางด่วนทุกจุด โดยที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกรถที่คนร้ายไว้ได้ โดยภาพทีวีวงจรปิดของปั๊มน้ำมันบางจาก สาขาถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ขาเข้า พบรถยนต์กระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเปลือกมงคุด หมายเลขทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี จอดอยู่เวลา 04.46 น. ต่อมาได้ขับออกไป จากนั้นในเวลา 05.44 น. เจ้าหน้าที่พบภาพทีวีวงจรปิดจากปั๊มน้ำมันอีกแห่งหนึ่งในถนนสายเดียวกัน แต่เป็นเส้นขาออกในเวลา 05.44 น. ซึ่งทีมสืบสวนได้จำลองเหตุการณ์ว่ารถยนต์กระบะวีโก้ได้มาจอดรถเวลาที่ปั๊มน้ำมัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ โดยที่รถกระบะมาสด้าได้ทำการประกบรถของนายสนธิ มาจากบ้านพัก จากนั้นจึงมาลงมือพร้อมกัน ก่อนที่จะวิ่งประกบตามกันมา เลี้ยวขวาตรงแยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ก่อนจะขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ออกนอกเมืองไปพร้อมกัน ซึ่งเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะมีกล้องวงจรปิดถึง 206 ตัว แต่ไม่สามารถตามจับกุมคนร้ายได้แม้แต่รายเดียว
พยานหลักฐานจากอาวุธปืน และกระสุนที่ใช้ก่อเหตุ ประกอบด้วย เอ็ม 16 อาก้า เอชเค เอ็ม 203 โดยกระสุนปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ RTA = ROYAL THAI ARMY โดยหลักฐานชิ้นนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในขณะนั้นยอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา แต่หลักฐานอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุนั้น พล.ต.อ.ธานียอมรับว่า ยังไม่พบ แต่ก็ไม่มีผลต่อการดำเนินคดี เนื่องจากมีพยานแวดล้อมและหลักฐานอื่นอีก
หลักฐานรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุคันแรก รถยนต์กระบะโตโยต้าวีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ซึ่งยืนยันแน่นอนว่าเป็นรถที่คนร้ายนำมาก่อเหตุ นอกจากนั้นยังมีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของกลุ่มคนร้าย ที่พบว่ามีการติดต่อกันในช่วงก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ รวมทั้งหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ จากการตรวจสอบรถยนต์ของนายสนธิ และสภาพการจำลองวิถีกระสุน รวมทั้งการตรวจลายนิ้วมือแฝง และคราบเขม่าดินปืนจากรถคันที่ใช้ก่อเหตุ
ส่วนหลักฐานเด็ด คือ ประจักษ์พยาน 2 คนที่เห็นคนร้ายอย่างชัดเจน และถือเป็นหลักฐานที่ทำให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ใช้ตัดสินใจในนาทีสุดท้าย โดย พล.ต.อ.ธานี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวไว้อย่างน่าคิดในขณะนั้นว่า “เวลาคนธรรมดาลงมือ ตำรวจทำงานไม่ยาก” ก่อนที่จะเสนออนุมัติหมายจับกุมผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุยิงถล่มนายสนธิ 2 คน ประกอบด้วย ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน จนท.ศูนย์ข่าว บช.ปส.ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ จ.ส.อ.ปัญญา หรือห่อ ศรีเหรา ทหารศูนย์สังกัดสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี จากนั้นไม่นานจึงขออนุมัติหมายจับ ส.อ.สมชาย บุนนาค สังกัดกองร้อยกองบังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี รวมผู้ต้องหาในคดีนี้ 3 คน
ปัจจุบัน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนยังไม่ถูกจับกุม และยังไม่เข้ามอบตัว ในขณะที่คดีเริ่มเงียบหายไปเรื่อยๆ ซึ่ง “สนธิ ลิ้มทองกุล” คงทำใจได้แล้วว่าคงเจ็บตัวฟรี แม้ตนเองจะรู้อยู่เต็มอกว่า “เป็นฝีมือใคร?” แต่ทว่าผู้มีอำนาจจับกุมกลับไม่ดำเนินการอะไร จนเป็นเหตุให้คดีความถูกตัดตอนลงแค่ 3 หมายจับผู้ต้องหาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ต้องหานั้น ส.ต.ท.วรวุฒิ ดูเหมือนจะเป็นบุคคลคนเดียวที่จะสามารถเชื่อมโยงไปถึง “ตัวละคร” คนสำคัญหลายคนในคดีนี้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น ระหว่าง ส.ต.ท.วรวุฒิกับบุคคลกลุ่มหนึ่งในสังกัดของ ส.ต.ท.วรวุฒิเอง นั่นคือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ปัจจุบัน เวลาในการคลี่คลายคดีได้ล่วงเลยเข้า 3 ขวบปีแล้ว แต่คดีได้ถูกตัดตอนลงแค่หมายจับดังที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะที่ พล.ต.อ.ธานี ได้เกษียณอายุราชการลงไปตามวาระ ทว่ายังมีตำแหน่งไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอยู่ แต่ก็เป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ไม่มีอำนาจสั่งการอะไร ซึ่งต่อมาคดีถูกโอนมาอยู่ในความดูแลของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ 10) และก็เงียบหายลงไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรกระเตื้องและคืบหน้า ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นว่า คำพูด คำมั่นสัญญาของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ ทั้งนักการเมืองและตำรวจ มันก็แค่ “ลมปาก” เท่านั้น!
พยานหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อว่าน่าจะนำไปสู่การปิดคดีนั้นมีทั้งพยานบุคคล วัตถุพยานต่างๆ ตั้งแต่วินาทีเกิดเหตุ จนถึงการเข้ามาควบคุมดูแลคดีของ พล.ต.อ.ธานี ในอีกหลายเดือนต่อมา ซึ่งคงต้องขอย้อนกลับไปดูพยานหลักฐานต่างๆ เหล่านั้นกันอีกครั้ง
พยานบุคคลซึ่งประกอบด้วย คนขับรถ และพนักงานเก็บตั๋ว ขสมก.ประมาณ 4 คน ยืนยันว่า ขณะขับรถตามหลังรถนายสนธิ มาถึงหน้าวัดเอี่ยมวรนุช เห็นรถกระบะไม่ทราบยี่ห้อและรุ่น ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับแซงรถคันเกิดเหตุไปจอดด้านหน้า จากนั้นคนร้ายที่นั่งกระบะท้าย 2 คนลุกขึ้นนั่งแล้วใช้อาวุธสงครามยิงใส่รถนายสนธิ ก่อนที่คนร้ายหลบหนีไป พยานเด็กปั๊๊มที่เห็นเหตุการณ์อีก 2 คน ชุดสืบสวนยังได้พยานปากสำคัญซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่คนร้ายเริ่มลงมือจนเหตุการณ์ยุติ ซึ่งคนร้ายได้พยายามสังหารพยานโดยการยิงใส่ แต่พยานหลบทัน โดยพยานสำคัญได้อยู่ในความคุ้มครองของชุดสืบสวนในเวลาต่อมา
พยานหลักฐานกล้องวงจรปิด CCTV บริเวณแยกบางขุนพรหม ซึ่งใช้ได้บางตัว รวมทั้งกล้องวงจรปิดทั้งหมด 206 กล้อง ในวันเกิดเหตุบริเวณแยกต่างๆ ตั้งแต่บริเวณใกล้ทำเนียบรัฐบาล เช่น แยกวังแดง แยกสวนมิสกวัน แยกพระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ธนาคาร และทางด่วนทุกจุด โดยที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกรถที่คนร้ายไว้ได้ โดยภาพทีวีวงจรปิดของปั๊มน้ำมันบางจาก สาขาถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ขาเข้า พบรถยนต์กระบะโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเปลือกมงคุด หมายเลขทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี จอดอยู่เวลา 04.46 น. ต่อมาได้ขับออกไป จากนั้นในเวลา 05.44 น. เจ้าหน้าที่พบภาพทีวีวงจรปิดจากปั๊มน้ำมันอีกแห่งหนึ่งในถนนสายเดียวกัน แต่เป็นเส้นขาออกในเวลา 05.44 น. ซึ่งทีมสืบสวนได้จำลองเหตุการณ์ว่ารถยนต์กระบะวีโก้ได้มาจอดรถเวลาที่ปั๊มน้ำมัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ โดยที่รถกระบะมาสด้าได้ทำการประกบรถของนายสนธิ มาจากบ้านพัก จากนั้นจึงมาลงมือพร้อมกัน ก่อนที่จะวิ่งประกบตามกันมา เลี้ยวขวาตรงแยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ก่อนจะขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ออกนอกเมืองไปพร้อมกัน ซึ่งเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะมีกล้องวงจรปิดถึง 206 ตัว แต่ไม่สามารถตามจับกุมคนร้ายได้แม้แต่รายเดียว
พยานหลักฐานจากอาวุธปืน และกระสุนที่ใช้ก่อเหตุ ประกอบด้วย เอ็ม 16 อาก้า เอชเค เอ็ม 203 โดยกระสุนปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ RTA = ROYAL THAI ARMY โดยหลักฐานชิ้นนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในขณะนั้นยอมรับว่า เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา แต่หลักฐานอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุนั้น พล.ต.อ.ธานียอมรับว่า ยังไม่พบ แต่ก็ไม่มีผลต่อการดำเนินคดี เนื่องจากมีพยานแวดล้อมและหลักฐานอื่นอีก
หลักฐานรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุคันแรก รถยนต์กระบะโตโยต้าวีโก้ สีเปลือกมังคุด ทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ซึ่งยืนยันแน่นอนว่าเป็นรถที่คนร้ายนำมาก่อเหตุ นอกจากนั้นยังมีหลักฐานการใช้โทรศัพท์มือถือของกลุ่มคนร้าย ที่พบว่ามีการติดต่อกันในช่วงก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ รวมทั้งหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ จากการตรวจสอบรถยนต์ของนายสนธิ และสภาพการจำลองวิถีกระสุน รวมทั้งการตรวจลายนิ้วมือแฝง และคราบเขม่าดินปืนจากรถคันที่ใช้ก่อเหตุ
ส่วนหลักฐานเด็ด คือ ประจักษ์พยาน 2 คนที่เห็นคนร้ายอย่างชัดเจน และถือเป็นหลักฐานที่ทำให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ใช้ตัดสินใจในนาทีสุดท้าย โดย พล.ต.อ.ธานี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวไว้อย่างน่าคิดในขณะนั้นว่า “เวลาคนธรรมดาลงมือ ตำรวจทำงานไม่ยาก” ก่อนที่จะเสนออนุมัติหมายจับกุมผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุยิงถล่มนายสนธิ 2 คน ประกอบด้วย ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือนายอรรถพล ปาทาน จนท.ศูนย์ข่าว บช.ปส.ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ จ.ส.อ.ปัญญา หรือห่อ ศรีเหรา ทหารศูนย์สังกัดสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี จากนั้นไม่นานจึงขออนุมัติหมายจับ ส.อ.สมชาย บุนนาค สังกัดกองร้อยกองบังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี รวมผู้ต้องหาในคดีนี้ 3 คน
ปัจจุบัน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนยังไม่ถูกจับกุม และยังไม่เข้ามอบตัว ในขณะที่คดีเริ่มเงียบหายไปเรื่อยๆ ซึ่ง “สนธิ ลิ้มทองกุล” คงทำใจได้แล้วว่าคงเจ็บตัวฟรี แม้ตนเองจะรู้อยู่เต็มอกว่า “เป็นฝีมือใคร?” แต่ทว่าผู้มีอำนาจจับกุมกลับไม่ดำเนินการอะไร จนเป็นเหตุให้คดีความถูกตัดตอนลงแค่ 3 หมายจับผู้ต้องหาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ต้องหานั้น ส.ต.ท.วรวุฒิ ดูเหมือนจะเป็นบุคคลคนเดียวที่จะสามารถเชื่อมโยงไปถึง “ตัวละคร” คนสำคัญหลายคนในคดีนี้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น ระหว่าง ส.ต.ท.วรวุฒิกับบุคคลกลุ่มหนึ่งในสังกัดของ ส.ต.ท.วรวุฒิเอง นั่นคือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
ปัจจุบัน เวลาในการคลี่คลายคดีได้ล่วงเลยเข้า 3 ขวบปีแล้ว แต่คดีได้ถูกตัดตอนลงแค่หมายจับดังที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะที่ พล.ต.อ.ธานี ได้เกษียณอายุราชการลงไปตามวาระ ทว่ายังมีตำแหน่งไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอยู่ แต่ก็เป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ไม่มีอำนาจสั่งการอะไร ซึ่งต่อมาคดีถูกโอนมาอยู่ในความดูแลของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ 10) และก็เงียบหายลงไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรกระเตื้องและคืบหน้า ซึ่งเป็นเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นว่า คำพูด คำมั่นสัญญาของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ ทั้งนักการเมืองและตำรวจ มันก็แค่ “ลมปาก” เท่านั้น!