กาฬสินธุ์ - “รักษ์ ลี้ทรงศักดิ์” นายอำเภอสมเด็จ เปิดใจสื่อกาฬสินธุ์ ยืนยันไม่คิดทำร้ายประชาชน ชี้ ภาพเหตุการณ์ชุลมุนเป็นความพยายามเข้าไปเจรจากับ ม็อบ ผรท.แต่ถูกกีดขวางรุมผลัก พร้อมเดินหน้าพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการของกฎหมาย
วันนี้ (8 เม.ย.) เวลา 13.00 น.ที่สมาคมนักข่าวกาฬสินธุ์ นายรักษ์ ลี้ทรงศักดิ์ นายอำเภอสมเด็จ ได้เข้าชี้แจงกับสื่อกาฬสินธุ์ หลังตกเป็นจำเลยสังคมจากคลิปของกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผรท.(2) 4 ภาค ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ชุลมุนระหว่าง ผรท.กับนายอำเภอ แล้วได้นำไปแจ้งความกล่าวหา นายรักษ์ ลี้ทรงศักดิ์ นายอำเภอสมเด็จ ว่า มีพฤติกรรมพยายามที่จะเข้าไปทำร้าย ม็อบ ผรท.ที่กำลังปิดถนนสี่แยกอำเภอสมเด็จ เพื่อเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ช่วยเหลือในเรื่องเงินชดเชยประกอบอาชีพที่ยังตกหล่นตามคำสั่ง 66/23 สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา
นายรักษ์ ลี้ทรงศักดิ์ นายอำเภอสมเด็จ กล่าวยืนยันว่า ตนไม่คิดที่จะทำร้ายประชาชน ด้วยเป็นข้าราชการกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน แต่พฤติกรรมของกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กระทำการปิดถนนนั้นผิดกฎหมาย ส่งผลทำให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่อง จะต้องได้รับความเดือดร้อนจากการเดินทาง ภาพเหตุการณ์ที่เห็นนั้น เป็นความพยายามจะเข้าไปเจรจาด้วยความชุลมุน ตนได้พยายามจะเปิดหน้ากากของผู้ชุมนุมที่ถ่ายวิดีโอ จนทำให้ผู้ชุมนุมเข้ามาโอบล้อม และมีการผลักไปมา
ขณะนี้ในส่วนราชการได้เตรียมภาพถ่ายอีกมุมหนึ่งไว้ เพื่อชี้แจงต่อพนักงานสอบสวนและพร้อมที่จะเดินเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย เพื่อค้นหาความจริง จึงขอให้กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใจเย็นๆ เพราะในขณะนี้เชื่อว่ารัฐบาลกำลังเตรียมการให้ความช่วยเหลือ
นายอำเภอสมเด็จ อธิบายอย่างละเอียดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 5 เมษายน 2554 เวลา 09.00 น.อำเภอสมเด็จ ได้รับรายงานว่า มีกลุ่ม ผรท.นำโดย นายบุญใส ก้อนดินจี่ กับพวก อดีต ผรท.จาก อ.คำม่วง อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ จ.สกลนคร และ จ.นครพนม ประมาณ 220 คน ได้ชุมนุมเพื่อปิดถนนที่บริเวณสี่แยกไฟแดง อ.สมเด็จ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยค่าประกอบอาชีพแก่กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ใน จ.กาฬสินธุ์ จ.สกลนคร จ.ยโสธร จ.นครพนม จ.อุดรธานี จ.หนองบัวลำภู และ จ.มุกดาหาร เมื่อได้รับรายงาน ตนซึ่งอยู่ในเครื่องแบบเนื่องจากเป็นวันประชุมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน
จึงรีบเดินทางไปที่บริเวณสี่แยกไฟแดง เพื่อเจรจาแก้ไขปัญหาให้กับผู้ชุมนุม เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่ใช้รถสัญจรไปมาได้เดินทางโดยสะดวก ซึ่งระหว่างนั้นเป็นช่วงที่กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มที่จะปิดถนนพอดี ขณะนี้รถของตนซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งนายอำเภอ ได้ติดอยู่ที่บริเวณไฟแดง อยู่ในวงล้อมของกลุ่มผู้ชุมนุม จึงได้เจรจาเพื่อขอนำรถไปจอดที่ริมถนนอีกด้านหนึ่งเพื่อไม่ได้กีดขวางทางจราจร และไม่ให้ผู้ใช้ถนนเข้าใจผิดว่าใช้รถยนต์ของทางราชการร่วมชุมนุมปิดถนน
แต่กลุ่มผู้ปิดถนนไม่ยินยอมให้ผ่าน มี 2 คน มายืนขวางถนน และบางส่วนได้เข้ามาล้อมรถของนายอำเภอไว้ ซึ่งขณะนั้น ตนอยู่บนถนนเพียงคนเดียว จึงตัดสินใจลงจากรถเพื่อขอให้หลีกทาง พร้อมกับแจ้งว่า พวกคุณปิดถนนอย่างนี้ไม่ได้ มันผิดกฎหมาย แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอมเปิด บางคนใช้ผ้าปิดหน้า ถ่ายวิดีโอพูดจ่าหยาบคาย ตนจึงพยายามที่จะเข้าไปดึงผ้าออกจึงได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนอย่างที่เป็นข่าว
นายอำเภอสมเด็จ กล่าวยืนยันว่า ตนไม่คิดที่จะทำร้ายกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยแม้แต่น้อย ซึ่งคิดได้ตั้งแต่การเดินทาง ตนก็เดินทางไปคนเดียว เดินลงรถไปคนเดียว ซึ่งหากคิดทำร้ายก็คงจะถูกรุมยำไปแล้ว หรือหากมีการวางแผนจะเข้าสลายการชุมนุมก็คงจะต้องนำกำลังเข้าไปด้วย ทั้งหมดจึงเกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์ใจในการทำงานที่ต้องการแก้ไขปัญหา
“ผมยอมรับว่า กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย 4 ภาค มีความต้องการจะให้รัฐบาลเข้าช่วยเหลือ ก็เพราะมีความเดือดร้อนมาจึงมีการชุมนุม ผมก็เข้าใจมาโดยตลอด เพราะการเรียกร้องเกิดขึ้นหลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดจะมาชุมนุมที่บริเวณสนามที่ว่าการอำเภอสมเด็จถึง 2 ครั้ง ซึ่งตนอยู่ที่นี่แล้วเกือบ 3 ปี ก็มีความมักคุ้นรู้จักกับแกนนำเป็นอย่างดีมาทุกครั้ง หากเหตุการณ์ตึงเครียดผมก็จะใช้วิธีการพูดคุยและร้องเพลงให้ฟัง จากนั้นก็จะสลายตัวแต่การชุมนุมปิดถนน ผรท.ไม่ได้แจ้งให้ทราบมาก่อนเมื่อมีประชาชนเดือดร้อนผมก็ต้องเข้าไปดำเนินการแก้ไข”นายอำเภอสมเด็จ กล่าวและกล่าวต่อว่า
ส่วนแนวทางการช่วยเหลือของรัฐบาลเท่าที่ทราบ ฝ่าย กอ.รมน.ภาค 2 รวมถึงรัฐบาลจะให้คำตอบผลการช่วยเหลือในเร็ววันนี้ แต่ไม่รู้วันไหน จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นเพียงช่องทางผ่านเรื่องนี้ใหญ่เกินที่ทางอำเภอหรือแม้แต่จังหวัดจะตัดสินใจได้ เพราะเกี่ยวพันกับงบประมาณจำนวนมากก็ขอให้กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใจเย็นๆ
ในส่วนของการแจ้งความก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฏหมายซึ่งก็พร้อมที่จะพิสูจน์ความจริงเช่นกัน