อุบลราชธานี - จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วง 2 วันที่ผ่านมา คอการเมืองสุดหน่ายการนำเสนอของฝ่ายค้าน ไม่มีลำหักลำโค่น ตรงข้ามกลับเป็นเหยื่อฝ่ายรัฐใช้ฝีปากตีโต้ แนะ “ตู่-เหลิม” เน้นพูดเรื่องปากท้องมากกว่าเรื่องตัวเอง จะน่าฟังกว่า ส่วนหลังอภิปรายไม่คิดการเมืองดีขึ้น ยังคงเน่าเหมือนเดิม ขณะเดียวกันพบนักวิชาการ-นักเคลื่อนไหว ไม่สนฟังการหาเสียงล่วงหน้า
วันนี้ (17 มี.ค.) ผู้สื่อข่าว จ.อุบลราชธานี รายงานความเห็นการอภิปายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ที่ผ่านมาทั้ง 2 วัน นายสุรสีห์ ผาธรรม อดีตผู้กำกับภาพยนตร์ตุ๊กตาทอง และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างภาพยนตร์ของสถาบันการศึกษา ระบุว่า ข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาใช้อภิปรายรัฐบาลครั้งนี้ มีความน่าสนใจมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ยังคงมีจุดอ่อนในกระบวนของการนำเสนอ ทำให้ดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร
โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับราคาสินค้าที่แพงขึ้น และการทุจริตอย่างโจ่งแจ้งเป็นจุดอ่อนของฝ่ายรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านไม่สามารถสร้างความเข้าใจให้คนฟังมีความรู้สึกร่วมในการรับฟังการอภิปรายได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ตรงกันข้าม เมื่อฝ่ายรัฐบาลชี้แจงตอบโต้กลับ ก็สามารถใช้วาทศิลป์ของนักพูดลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้านลง จึงรู้สึกเห็นใจฝ่ายค้านที่ต้องไปเจอกับนักพูดอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งที่หลายเรื่องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เลี่ยงไม่ตอบคำถามของฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา
นายสุรสีห์ ยังเปรียบการทุจริตที่เกิดขึ้นในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประชาชนมองเห็นกระบวนการทุจริตในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้ชัดเจนกว่า เพราะเป็นการทุจริตในระบบที่กินไปถึงคนรากหญ้า ทั้งปัญหาการปั่นราคาน้ำมันปาล์ม การกักตุนสินค้า การทุบตลาดเนื้อสัตว์
รวมไปถึงการก่อสร้างโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ผิดกับสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประชาชนมองไม่เห็น เพราะเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย แต่ฝ่ายค้านกลับไม่สามารถสร้างบาดแผลให้ฝ่ายรัฐบาลได้
สำหรับเวลาที่เหลืออยู่ฝ่ายค้าน จะต้องปรับกลยุทธ์วิธีการนำเสนอข้อมูล และเชื่อว่าคนที่จะสร้างสีสันให้การอภิปรายในเวลาที่เหลืออยู่ จะมี นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แต่ทั้งคู่ต้องเน้นอภิปรายในเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก หรือการนำเสนอการทุจริตของรัฐบาลมากกว่าการพูดถึงตนเอง โดยเฉพาะในประเด็นการฟอกตัวจากเหตุการณ์เผาบ้านเมืองเมื่อปีที่ผ่านมา
ด้านความหวังหลังการอภิปรายครั้งนี้ อดีตผู้กำกับภาพยนตร์ตุ๊กตาทองที่สะท้อนภาพการดำเนินชีวิตของสังคมไทย กล่าวว่า “ไม่มีความหวังกับนักการเมืองไทย เพราะแม้มีการเลือกตั้งหลังการอภิปราย คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ การจะเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองประเทศไทย ต้องใช้วิธีการปฏิวัติโดยการเมืองภาคประชาชน ซึ่งต้องผลักดันเอานักการเมืองน้ำดีเข้ามาไล่นักการเมืองน้ำเสียออกไปจากสภาให้มากที่สุด วันนั้นสังคมไทยถึงจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาได้”
ผู้สื่อข่าวรายงานข้อสังเกตการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ไม่ได้รับความสนใจจากนักวิชาการด้านการปกครอง รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางสังคม โดยจากการสอบถามส่วนใหญ่ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน “เป็นเพียงวาทกรรมใช้หาเสียงของนักการเมืองสองฝ่าย ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วไป”
ส่วนประเด็นที่กลุ่มนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวให้ความสนใจติดตามความเคลื่อนไหวมากที่สุด คือ ประเด็นการระเบิดของโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการคัดค้านและสั่งยุติการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในหลายประเทศ