ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชุดปฏิบัติการทำฝนหลวง เร่งขึ้นบินทำฝนหลวงในพื้นที่เป้าหมาย 8 อำเภอ ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี หลังจังหวัดได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินภัยแล้ง ขณะที่กรมชลประทานเร่งดำเนินการขุดคลองผันน้ำและงานประตูระบายน้ำแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากเป็นประจำทุกปี
วันนี้ (21 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้ออกสำรวจการปฏิบัติการการบินทำฝนหลวง ของหน่วยทำฝนหลวงจังหวัดจันทบุรี ที่จังหวัดได้มีการขอความร่วมมือให้เข้ามาดำเนินการบินโปรยสารทำฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ที่ในขณะนี้จังหวัดได้มีการประกาศให้ 8 อำเภอ จาก 10 อำเภอ ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีประสบปัญหาภัยพิบัติฉุกเฉินภัยแล้งแล้ว
พื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งหนักสุด คือ พื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อน และ พื้นที่อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอนี้จะประสบปัญหาภัยแล้งเป็นประจำทุกปีเนื่องจากพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอ ไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน และเป็นแหล่งที่มีการปลูกลำไยส่งออกต่างประเทศ ทำให้เกษตรกรปลูกลำไยจะได้รับผลกระทบในเรื่องของปัญหาภัยแล้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ในพื้นที่รองลงมา คือ อำเภอมะขาม และ อำเภอแก่งหางแมว ก็จะพบปัญหาตามมาเช่นกัน
ล่าสุด ทางกรมชลประทานได้มีการเร่งดำเนินการขุดคลองผันน้ำและการดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำ บริเวณคลองผันน้ำสายใหม่ ความยาว 3661 เมตร และคลองข่าตอนบน-คลองพลับพลา ความยาว 2429 เมตร ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัยของจังหวัดจันทบุรีได้
ด้าน นางรวิวรรณ ยังคำ หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์ผู้ประสบภัยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รักษาการแทนหัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ในด้านของการช่วยเหลือทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรี ได้มีการนำเครื่องสูบน้ำกว่า 20 เครื่องและรถน้ำจำนวน 15 คัน กระจายไปในพื้นที่ 8 อำเภอ ของจังหวัดจันทบุรีที่ได้รับความเดือดร้อน
โดยร่วมกับทางองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลในพื้นที่แต่ละอำเภอที่ได้รับความเดือดร้อน ในการจัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกในการสูบน้ำ วิ่งแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ จังหวัดก็พร้อมที่จะมีการนำงบประมาณฉุกเฉินเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้งเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ของประชาชน และชาวบ้านใน 8 อำเภอในเบื้องต้นก่อน
ส่วนระดับน้ำในคลองธรรมชาติ ฝาย เขื่อน และอ่างเก็บกักน้ำต่างๆ ในจังหวัดจันทบุรีเริ่มมีปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น อ่างเก็บกักน้ำคีรีธาร มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 76 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 54.088 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนพลวงมีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 80 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 45.496 ล้านลูกบาศก์เมตร
คาดว่า ในปีนี้จังหวัดจันทบุรีจะได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งอย่างหนักและเพิ่ม ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ในส่วนนี้อยากฝากกับประชาชน และชาวบ้านควรช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัด ควรสูบน้ำเป็นเวลาและไม่ควรใช้น้ำโดยสิ้นเปลือง รวมทั้งควรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทนการปลูกข้าวนาปรังที่ใช้น้ำมาก ซึ่งสิ่งเหล่าถ้าประชาชนสามารถทำได้ก็จะช่วยให้ประชาชนและชาวบ้านมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ
สำหรับพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายที่เกิดจากปัญหาภัยแล้งแล้วในปัจจุบันนี้มีจำนวน 50,000 กว่าไร่เศษ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่สวนผลไม้ เช่น เงาะ ลองกอง ทุเรียน และ ลำไย เป็นต้น ทั้งนี้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนแล้ว 65 เปอร์เซ็นต์ มีจำนวน 76 ตำบล 728 หมู่บ้าน
วันนี้ (21 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้ออกสำรวจการปฏิบัติการการบินทำฝนหลวง ของหน่วยทำฝนหลวงจังหวัดจันทบุรี ที่จังหวัดได้มีการขอความร่วมมือให้เข้ามาดำเนินการบินโปรยสารทำฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ที่ในขณะนี้จังหวัดได้มีการประกาศให้ 8 อำเภอ จาก 10 อำเภอ ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีประสบปัญหาภัยพิบัติฉุกเฉินภัยแล้งแล้ว
พื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งหนักสุด คือ พื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อน และ พื้นที่อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอนี้จะประสบปัญหาภัยแล้งเป็นประจำทุกปีเนื่องจากพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอ ไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน และเป็นแหล่งที่มีการปลูกลำไยส่งออกต่างประเทศ ทำให้เกษตรกรปลูกลำไยจะได้รับผลกระทบในเรื่องของปัญหาภัยแล้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ในพื้นที่รองลงมา คือ อำเภอมะขาม และ อำเภอแก่งหางแมว ก็จะพบปัญหาตามมาเช่นกัน
ล่าสุด ทางกรมชลประทานได้มีการเร่งดำเนินการขุดคลองผันน้ำและการดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำ บริเวณคลองผันน้ำสายใหม่ ความยาว 3661 เมตร และคลองข่าตอนบน-คลองพลับพลา ความยาว 2429 เมตร ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัยของจังหวัดจันทบุรีได้
ด้าน นางรวิวรรณ ยังคำ หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์ผู้ประสบภัยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รักษาการแทนหัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ในด้านของการช่วยเหลือทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรี ได้มีการนำเครื่องสูบน้ำกว่า 20 เครื่องและรถน้ำจำนวน 15 คัน กระจายไปในพื้นที่ 8 อำเภอ ของจังหวัดจันทบุรีที่ได้รับความเดือดร้อน
โดยร่วมกับทางองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลในพื้นที่แต่ละอำเภอที่ได้รับความเดือดร้อน ในการจัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกในการสูบน้ำ วิ่งแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ จังหวัดก็พร้อมที่จะมีการนำงบประมาณฉุกเฉินเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาภัยแล้งเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ของประชาชน และชาวบ้านใน 8 อำเภอในเบื้องต้นก่อน
ส่วนระดับน้ำในคลองธรรมชาติ ฝาย เขื่อน และอ่างเก็บกักน้ำต่างๆ ในจังหวัดจันทบุรีเริ่มมีปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น อ่างเก็บกักน้ำคีรีธาร มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 76 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 54.088 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนพลวงมีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 80 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 45.496 ล้านลูกบาศก์เมตร
คาดว่า ในปีนี้จังหวัดจันทบุรีจะได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งอย่างหนักและเพิ่ม ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ในส่วนนี้อยากฝากกับประชาชน และชาวบ้านควรช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัด ควรสูบน้ำเป็นเวลาและไม่ควรใช้น้ำโดยสิ้นเปลือง รวมทั้งควรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทนการปลูกข้าวนาปรังที่ใช้น้ำมาก ซึ่งสิ่งเหล่าถ้าประชาชนสามารถทำได้ก็จะช่วยให้ประชาชนและชาวบ้านมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ
สำหรับพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายที่เกิดจากปัญหาภัยแล้งแล้วในปัจจุบันนี้มีจำนวน 50,000 กว่าไร่เศษ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่สวนผลไม้ เช่น เงาะ ลองกอง ทุเรียน และ ลำไย เป็นต้น ทั้งนี้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนแล้ว 65 เปอร์เซ็นต์ มีจำนวน 76 ตำบล 728 หมู่บ้าน
