พิษณุโลก – “เสี่ยปุ้มปุ้ย” ถอดบทเรียนทำธุรกิจเพื่อสังคม ฝากผ่านคนพิษณุโลก ต้องคิดว่า “ให้อะไรกับแผ่นดินเกิด” ด้วยการร่วมผลักดันสินค้าท้องถิ่นรับมือประชาคมอาเซียน-การค้าเสรีเต็มรูปแบบที่จะมาถึงในปี 58 นี้ ย้ำอย่ากลัวจีน พร้อมแสดงความเชื่อมั่น “ม็อบแดง” ไร้ผล-ไม่กระเทือนเศรษฐกิจ
วันนี้ (18 มี.ค.) ที่โรงแรมอมรินทร์ลากูล พิษณุโลก หอการค้าไทย ร่วมกับ บ.เอไอเอส จัดงานปาฐกถาพิเศษ “ความพร้อมของ SMEs ไทย เกื้อกูลและก้าวไกลในอาเซียน” โดยเชิญนายสุรินทร์ โตทับเที่ยง ประธานคณะกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคมไทย หอการค้าไทย เข้าร่วม มีผู้ร่วมฟังกว่า 400 คน
นายสุรินทร์ กล่าวว่า เหตุที่ SMEs ไทยต้องหันมาพึ่งพากันให้มากขึ้น เพราะวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวนทั้งปัญหาเดิมๆ และปัญหาใหม่ ซึ่งปีนี้คงต้องพูดถึงการเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประชาคมอาเซียนในปี 2558 ที่จะเปิดการค้าเสรีเต็มรูปแบบ
“ผมในฐานะผู้บริหารปลากระป๋องปุ้มปุ้ย ยืนยันว่า ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะหลายผลิตภัณฑ์ของปลากระป๋องปุ้มปุ้ย มีจุดเด่นในตัวเอง ผมไม่กลัวจีน เนื่องจากสินค้าเรามีคุณภาพ และก็เชื่อว่า สินค้าของคนไทยสู้ได้ ขอเพียงให้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ อย่าไปท้อแท้ ฉะนั้น จึงขอแนะนำว่า ผู้ประกอบการคนในพิษณุโลกให้หาจุดเด่นของสินค้าขึ้นมา พัฒนาให้มีจุดแข็ง”
นายสุรินทร์ เล่าถึงการเติบใหญ่ของ “ปลากระป๋องปุ้มปุ้ย” อีกว่า ปี 2522 หลายคนไม่เชื่อว่า จะตั้งโรงงานปลากระป๋องปุ้มปุ้ยสำเร็จ เพราะยุคนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆ 100 ปีก่อน คือ ดินแดนรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ กระทั่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ้มปุ้ยหนีคู่แข่ง สร้างยอดขายไปทั่วประเทศ ฐานะบริษัทมั่นคง ก็เริ่มทำธุรกิจที่ตอบแทนให้กับสังคม จนสามารถพัฒนาสินค้าของตนเคียงคู่กับการโปรโมตให้คนทั้งประเทศรู้จัก “เมืองตรัง” ทั้งที่อดีตหลายปีก่อนยังนึกว่า เมืองตาก
เขาบอกว่า บังเอิญว่า ผมเป็นพ่อค้า และต่อมาได้รับเลือกเป็นประธานหอการค้าจังหวัดตรัง ส่งผลให้คนรู้จักเยอะ ผมคิดว่า ต้องคืนกำไรให้กับสังคมหรือจังหวัดบ้านเกิด กระทั่งคิดจุดขายของจังหวัดตรังพร้อมโปรโมตงานให้ยิ่งใหญ่ ลักษณะผลักดันสินค้าท้องถิ่นควบคู่กับแหล่งท่องเที่ยวเมืองตรัง เช่น เทศกาลกินหมูย่างเมืองตรัง ขนมเค้กเมืองตรัง และวิวาห์ใต้สมุทร ส่งผลให้เงินสะพัดทั่วจังหวัด มีตัวเลขนักท่องเที่ยวแวะเวียนต่อเนื่อง ปี 52 ที่ผ่านมา มียอดนักท่องเที่ยว 850,000 คนต่อปี และปี 53 นี้คงทะลุล้านคน ส่วนจังหวัดพิษณุโลกเองก็น่าจะทำได้ เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าจังหวัดตรังเสียอีก
“ขอฝากให้นักธุรกิจในเมืองพิษณุโลก พัฒนาและคิดค้นสินค้าของตนเองให้เด่น และนึกถึงสังคม-ส่วนรวมและท้องถิ่นบ้านเกิด ยึดคำว่า คนพิษณุโลก ทำอะไรให้กับเมืองพิษณุโลกบ้าง แต่ไม่ใช่ เมืองพิษณุโลกให้อะไรแก่เรา”
หลังจากนั้น นายสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ว่า ไม่เกิดผลกระทบรุนแรง หากชุมนุมไปลักษณะนี้ ไม่มีใครมาแทรก ก็ไม่น่ามีผลกระทบกับเศรษฐกิจใดๆ แต่ความคิดเห็นของทั้งสองฝ่าย จะไม่วิจารณ์ หอการค้าเราต้องอยู่ตรงกลาง ไม่ยุ่งเรื่องการเมือง ใครมีเหตุผลอะไรก็ว่ากันไป สื่อต่างชาติติงได้ คิดว่าไม่น่ารุนแรง แม้จะชุมนุมยืดเยื้อ หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงก็ไม่น่ามีผลกระทบอะไร มีบ้างจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ
“แต่ถ้ามีเหตุรุนแรงเมื่อไหร่ จะกระเทือนเศรษฐกิจมาก คนตกใจมาก เริ่มกักตุนสินค้า ความปกติจะไม่ปกติขึ้นมา นักธุรกิจกลัวตรงนี้ ส่วนหอการค้าไทยนั้นมีวอร์รูมอยู่แล้ว มีการประเมินสถานการณ์วันต่อวัน”