อุดรธานี -ชุดปราบปรามทรัพยากรธรรมชาติฯ กก 3 บก.ปทส.พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เข้ายึด “ไม้มะค่าโมงยักษ์อายุกว่า 300 ปี” ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติน้ำโสม-นายูง แต่มีสภาพเป็นสวนยางพารา เจ้าของอ้างมีโฉนด เป็นกรรมสิทธิ์เจ้าของที่ดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี มาวันนี้( 6 ก.พ.)นายพิชัย อาฤทธิ์ หน.ป้องกันรักษาที่ อด 2 (หนองแวง) อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี , นายสมปอง เที่ยงมนต์ ปลัดป้องกัน อ.น้ำโสม , พ.ต.ท.ธีรวัฒน์ ทองเนียม รอง ผกก.สส.สภ.น้ำโสม , ด.ต.ศักดิ์สิงห์ พระสว่าง หน.ชุดปราบปรามทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กก 3 บก.ปทส.พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เข้ายึด “ไม้มะค่าโมงยักษ์อายุกว่า 300 ปี” ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติน้ำโสม-นายูง แต่มีสภาพเป็นสวนยางพารา 3 กม.ทิศตะวันตกของบ้านโนนภู่ทอง หมู่ 15 ต.น้ำโสม อ.น้ำโสม หลังจากมีชาวบ้านแจ้งเบาะแส
เจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าเข้าไปกว่า 1 กม. พบต้นมะค่าโมงยักษ์ถูกโค่นลง ด้วยการใช้เครื่องจักรขุดโคลนต้นออก เพื่อตัดเอารากขนาดใหญ่ และดันให้ต้นไม้ล้มลง ตัดทอนไม้เป็นท่อนรวม 9 ท่อน (ไม่รวมราก) ความยาวรวม 26 เมตร เส้นรอบวงโตสุด 650 เซนติเมตร หรือมากกว่า 4 คนโอบ ขนาดเล็กสุด 150 เซนติเมตร วัดปริมาตรได้รวม 18.81 ลูกบาศก์เมตร และยังพบมีร่องรายเตรียมจะแปรรูปไม้ในบริเวณดังกล่าว
ต่อมานายทรัพย์ พรหมสวัสดิ์ อายุ 71 ปี พ่อของนายบัวลอง พรหมสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลน้ำโสม อ.น้ำโสม มาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดิน ด้วยการนำ น.ส.3 ก. เนื้อที่ 50 ไร่ มาแสดง พร้อมระบุว่า ได้โอนที่ดินผืนนี้ให้นายบัวลอง บุตรชายไปเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมปีที่แล้ว แต่ระหว่างที่เป็นที่ดินตนเองอยู่ ได้ขายต้นมะค่าโมงให้นายพล ไม่ทราบนามสกุล ในราคา 30,000 บาท เพราะเห็นว่าเป็นไม้ใน น.ส.3 ก. สามารถตัดมาใช้สอยได้ ต่อมานายพล ก็ส่งคนมาตัดและเตรียมแปรรูป
เจ้าหน้าที่จึงรวมตรวจอายัด “ไม้มะค่าโมงยักษ์” ทั้งหมดไว้ โดยเก็บรักษาไว้ที่จุดเกิดเหตุ ให้เจ้าของที่ดินเก็บรักษาไว้รอการพิสูจน์ เพราะจากการตรวจสอบแผ่นที่ภาพถ่ายทางอากาศ ระบุว่าที่ดินผืนดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสวนแห่งชาติน้ำโสม-นายูง และยังอยู่ในกลางพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ หรือโซน E เมื่อมีผู้โต้แย่งการจับกุม ด้วยการนำ น.ส.3 ก.มาแสดง จึงต้องตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงคืออะไร
นายพิชัย อาฤทธิ์ หน.หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อด.2 เปิดเผยว่า มะค่าโมงยักษ์ต้นนี้เคยถูกจับมาแล้ว เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2552 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจจับการขุดโคนต้น เพื่อตัดเอารากไม้ต้นนี้ ยึดได้เพียงเลื่อยยนต์ 2 เครื่อง , รถอีแต๋น 1 คัน และรากไม้มะค่าโมงขนาดใหญ่ 6 ท่อน แต่ไม่ได้ตัวผู้ต้องหา และมาครั้งนี้ก็มีความพยายามคล้ายกับครั้งแรก เมื่อมีการอ้างอยู่ในที่ดิน น.ส.3 ก. ก็จะเสนอให้นายอำเภอน้ำโสม แต่งตั้งกรรมการร่วมตรวจสอบ
“ กรรมการจะมี 3 ฝ่าย คือ ปกครอง ป่าไม้ และที่ดิน จะดูว่า น.ส.3 ก.ที่นำมาแสดงอยู่บริเวณใด อยู่ในจุดที่มีการลักลอบตัดไม้หรือไม่ หากอยู่บริเวณนั้นเป็นการออกแบบใด ออกถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และจุดการลักลอบตัดไม้อยู่ในเขตป่าอะไร ในโซน E ตามที่เรายืนยันหรือไม่ หากคณะกรรมการปสรุปผลอย่างไร ก็จะดำเนินการตามนั้น “
นายพิชัยกล่าวอีกว่า หากเป็นไม้ในที่ดิน น.ส.3 ก. เจ้าของที่ดินสามารถตัด และแปรรูปในที่ดินนั้นได้ แต่จะไม่สามารถขนออกจากที่ดินได้ แต่หากเป็นการขออนุญาตถูกต้อง สามารถขนท่อนซุง หรือไม้ออกมาจากพื้นที่ได้ โดยเสียค่าภาคหลวงเพียง ลบม.ละ 80 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ราคาประมูลไม้มะค่าโมงของกลาง ออป. เมื่อ 2 ปีก่อน ลบม.ละ 12,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไม้มะค่าโมงนับเป็นไม้มีราคาแพง นิยมนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ หรือตกแต่งภายในบ้าน ในอดีตพื้นที่ อ.น้ำโสม มีอยู่จำนวนมาก แต่ปัจจุบันได้ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในพื้นที่ป่าสงวนก็มีการลักลอบตัด และแปรรูป ขณะที่ต้นไม้ที่อยู่ในพื้นที่ น.ส.3 ก. ก็ถูกจับจองซื้อไว้หมดแล้ว จึงลามมายังที่ดิน สปก. ที่ดินป่าสงวนที่ชาวบ้านทำกิน กรณีไม้มะค่าโมงยักษ์ต้นนี้ ได้มีการซื้อขายกันไปกว่า 3 ทอด แต่ไม่มีใครกล้ามาตัด จนล่าสุดทราบว่ามีการซื้อขายให้กับนักการเมืองคนหนึ่งระหว่าง จ.อุดรธานี และหนองคาย