ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” เตือนรัฐบาลอย่าประมาทม็อบแดงถ่อย 10 ธ.ค. แนะให้จับตาทหารรับจ้างกองกำลังอันธพาลระบอบทักษิณ ซัด “เสธ.แดง” เนรคุณเงินภาษีประชาชน ทำตัวเป็นทาสรับใช้ “นช.แม้ว” เหิมหนักข้อท้าทายอำนาจรัฐบาล กองทัพบก และนายกฯ อภิสิทธิ์ ชี้ม็อบ 10 ธ.ค.จงใจเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ท้าทายราชบัลลังก์
วันนี้ (8 ธ.ค.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ว่า กรณีความเคลื่อนไหวเกี่ยวอดีตอาสาสมัครทหารพรานจะเข้าร่วมชุมนุมทำหน้าที่เป็นการ์ดให้กับคนเสื้อแดงว่า แม้เราจะไม่สนใจและให้ความสำคัญกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ. แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก แต่คำพูดและเว็บไซต์ของ เสธ.แดง ก็มีความจริงมาโดยตลอด
ปฏิบัติการของ เสธ.แดง คือ ตัวแทนของทหารที่แสดงออกหน้าอย่างประเจิดประเจ้อและท้าทายต่ออำนาจรัฐและอำนาจของกองทัพบก ว่าตัวเองขึ้นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ขึ้นต่อผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายกรัฐมนตรี ทั้งที่เป็นทหารในราชการและสวนสนามในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ และการแสดงออกของ เสธ.แดงเป็นที่ชื่นชอบของทหารกว่า 40 นายที่ตบเท้าเข้าไปอยู่ในพรรคเพื่อไทย (พท.) และ ทหารที่ซุ่มซ่อนรอคอยโอกาสอยู่
ฉะนั้นรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ รมว.กลาโหม ไม่ควรประมาทเรื่องนี้ เพราะว่ากองทัพถือว่าเป็นสถาบันหลักในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ หากกองทัพถูกแบ่งแยกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วความมั่นคงแห่งชาติก็จะถูกทำลายไป ระบอบทักษิณ ก็จะแทรกซึมและสามารถบ่อนทำลายได้ในเวลาที่ไม่นานนัก
“ไม่น่าเชื่อเลยว่า นายทหารที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณ และรับพระราชทานกระบี่จากพระเจ้าอยู่หัว จะแสดงออกเช่นนี้ เขามิได้แสดงความพิทักษ์ปกป้องชาติและราชบัลลังก์ แต่กลับเป็นทหารในฐานกองกำลังอันธพาลในสังกัดระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจมากในฐานะคนที่เสียภาษีให้แก่นายทหารพวกนี้” นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับการชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เป็นการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ว่าเป็นวันที่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญโดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เขาเรียกร้องต้องการคือฉบับปี 2540 โดยเนื้อหาของการชุมนุมจะสะท้อนถึงการส่งทอดความรู้สึก กำลังใจและสัญญาณไปถึงเครือข่ายทั่วประเทศว่า แม้จะอยู่ในช่วงของการเฉลิมฉลอง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชนควรทำให้เกิดความสงบ แต่พวกเขาเลือกที่จะกระทำ แสดงว่าเขากล้าท้าทายไม่เพียงแต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น แต่เขายังกล้าท้าทายราชสำนักด้วย
“ดังนั้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ และมีนัยสำคัญที่จะให้คนเข้าใจได้ว่า มิได้หวั่นเกรงต่อสถาบันหลักของชาติ ทำให้การดำรงเป้าหมายเดิมยังคงอยู่” นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า โรงเรียนการเมืองและการทหารของกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงปฏิบัติการต่อเนื่อง 6 เดือนมาแล้วมีนับ 10 รุ่น ก็จะเอาคนเหล่านี้มาปฏิบัติการทางสังคม ถือเป็นการซักซ้อมการเคลื่อนไหวเพื่อหาประสบการณ์ และทดสอบพลังของตัวเอง ฉะนั้นอย่าไปมองข้ามเรื่องการเคลื่อนไหววันที่ 10 ธ.ค.นี้ เพราะมีนัยที่บ่งบอกมากกว่าการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอาค่าจ้างจากระบอบทักษิณ เท่านั้น แต่มันเป็นการซ้อมรบ เหมือนพิธีสวนสนามของทหารนั่นเอง
ส่วนจะเป็นการชุมนุมยกสุดท้ายขั้นแตกหักหรือไม่นั้น จะเกิดขึ้นได้หากรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ ไม่ยุบสภาฯ เพราะว่าเขาเชื่อเต็มร้อยว่า หากยุบสภาฯ แล้วเขาจะกลับมาเป็นรัฐบาล และเมื่อนั้นเขาจะใช้กลไกลทุกอย่างตามที่สมเด็จฯ ฮุนเซน เคยใช้กับราชวงศ์นโรดม ในการขออภัยโทษ และนิรโทษกรรม
ทั้งนี้ เพราะอำนาจรัฐถ้าเลือกตั้งอีกครั้ง ทั่วโลกประกาศยอมรับผลการเลือกตั้งเสร็จ เขามีสิทธิ์ที่จะดำเนินการภายใต้กฎหมาย เหมือนฮุนเซนที่ใช้กลไกกฎหมายในการกดดันให้ราชวงศ์นโรดม ทั้งกษัตริย์สีหนุ และสีหมุนี ในการที่จะออกกฎหมายพิเศษเพื่อให้มีการอภัยโทษและนิรโทษกรรมในการกระทำใดๆ ของฮุนเซน และระบอบฮุนเซนทั้งหมด เป็นการถ่ายโยงฮุนเซนโมเดล มาใช้ในประเทศไทย เพราะฮุนเซนใช้ทั้งการทหารและการเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งแพ้ฮุนเซนก็บีบกษัตริย์สีหนุว่าขอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ถ้าเลือกตั้งชนะ ก็ประกาศทั่วโลกว่าเราชนะแล้ว และก็บีบสถาบันหลัก คือสถาบันพระมหากษัตริย์ และออกกฎหมายนิรโทษทั้งหมด
“การออกแบบของระบอบฮุนเซน จึงเป็นการถ่ายโยงการเมืองกัมพูชามาสู่ประเทศไทยและในที่สุดคนไทยก็จะเหมือนคนเขมรที่มี 4 ฝ่าย คือเขมรของ พล พต, เขมรของซอน ซาน , เขมรของสีหนุ และเขมรของฮุนเซน ซึ่งไทยตอนนี้ก็มี 3 สีคือ สีเหลือง, แดง และน้ำเงิน รออีกสีเดียวเท่านั้น แต่ถ้านับสีขาวไปอีกสีหนึ่ง คนไทยก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับความยุ่งเหยิงในราชอาณาจักรกัมพูชา” นายสมเกียรติกล่าว
ส่วนการชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.ของคนเสื้อแดงหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า จะมีความรุนแรงนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารแบบลักไก่ได้นั้น นายสมเกียรติกล่าวว่า คิดว่าการรัฐประหารเป็นเรื่องใหญ่ เพราะการรัฐประหารคราวนี้หากทักษิณทำ หมายถึงการล้มเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ง่ายเลยนอกจากจะใช้ปฏิบัติการที่รวดเร็วที่สุด หรือแบบเฉียบขาดเพื่อรวบรัด และใช้ความรุนแรง ฉะนั้นบ้านเมืองในระยะนี้จึงเป็นบ้านเมืองในระยะที่ประมาทไม่ได้ เพราะถ้าใครถืออาวุธมากกว่า กำลังมากกว่า ปฏิบัติการเฉียบพลันกว่า คนนั้นก็จะกำชัยชนะ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรประมาท
“แต่ส่วนตัวคิดว่ายังไม่มีปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น นอกจากทักษิณจะดิ้นมาสู่กับดักและความตายด้วยตัวของเขาเอง เพราะไม่มีคำอธิบายใดๆ ที่จะมีเหตุผลเพียงพอที่จะก่อรัฐประหารที่จะล้มเจ้า เพราะพระองค์อยู่ในฐานะที่เป็นที่เคารพและเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทยและเป็นที่มุ่งหวังของคนไทยทั้งปวง ที่หลอมรวมความเป็นราชอาณาจักรไทยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวจนถึงทุกวันนี้” นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติกล่าวถึงกระแสถึงขั้นจะมีการแบ่งเงินในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ให้ครึ่งหนึ่งสำหรับแนวร่วมของพวกเขาหากก่อการสำเร็จว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะยุคโลกาภิวัตน์ เงินสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง ดังจะเห็นได้จากลาตินอเมริกา และ แอฟริกา ที่เต็มไปด้วยกองทหารรับจ้าง ตนในฐานะที่เป็นนักวิชาการและแกนนำพันธมิตรฯ รู้สึกกังวลกับคำว่า ทหารรับจ้างมาก เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ บุญจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ออกมาบอกว่า ได้ทำความเข้าใจกับทหารพรานและทหารพรานได้รายงานมาแล้ว เพราะบทเรียนของละตินอเมริกา ความรุนแรงทั้งหมดเกิดขึ้นจากกองกำลังทหารรักชาติ ผสมกับกองกำลังอันธพาลภายในประเทศนั้น ซึ่งตนมีความเป็นห่วงเรื่องนี้
“ทหารพรานเป็นหน่วยรบที่อาจจะไม่ดีที่สุด แต่เผชิญชะตากรรมของการสู้รบและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากที่สุด ผมยกย่องทหารเกณฑ์ และทหารพรานมากที่สุด เพราะเขาคือผู้เสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างจริงจัง เพราะทหารประจำที่ใช้งบประมาณกว่า 1.6 แสนล้านบาทต่อปี แทบไม่มีการสู้เลย” นายสมเกียรติกล่าวในที่สุด