ศูนย์ข่าวศรีราชา - ตลาดทั่วโลกยังมั่นใจคุณภาพไก่ไทย ทั้งการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และได้คุณภาพ ส่งให้ตัวเลขการส่งออกในปี 2552 คาด มีไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ขณะที่การมองหาตลาดใหม่ยังมีข้อจำกัดเรื่องการผลิตสินค้าที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งบริโภคภายในประเทศ และป้อนให้แก่ประเทศคู่ค้าสำคัญ
นางฉวีวรรณ คำพา ประธานกรรมการ บริษัท ฉวีวรรณฟาร์ม จำกัด ในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยถึงสถานการณ์การส่งออกเนื้อไก่และไก่ปรุงสุกจากไทยไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญทั้งในประเทศแถบยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน ว่า ยังคงมีทิศทางที่สดใส โดยในปี 2552 มูลค่าการส่งออกโดยรวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ภายใต้ตัวเลขการส่งออกที่สูงถึง 5 แสนตัน ถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่ไม่แตกต่างจากปี 2551 ที่มีอัตราเติบโตสูงจากปีก่อนๆ ไม่น้อยกว่า 13%
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้การส่งออกเนื้อไก่ของไทยยังสดใสแม้ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะตกต่ำ เป็นเพราะความต้องการอาหารที่ยังมีสูง ประกอบกับประเทศในกลุ่มมุสลิม ยังมีการบริโภคเนื้อไก่สูงเป็นอันดับ 1 ขณะที่การพัฒนาอาหารฮาลาลของไทยยังคงเป็นไปแบบต่อเนื่อง โดยการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 ทำให้ทั่วโลกหันมาบริโภคเนื้อไก่จากไทยมากขึ้นเพราะมั่นใจในระบบการผลิต ส่วนวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ทำให้ชาวอเมริกันงดการบริโภคอาหารนอกบ้านแ ละหันมาทำอาหารเพื่อรับประทานเอง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เนื้อไก่จากไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้นด้วย
“ยอดการส่งออกเนื้อไก่ทั้งดิบและปรุงสุกจากไทยในปี 2552 มีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีก่อนจากปัจจัยที่เกิดขึ้นในหลายๆ ด้าน ขณะที่ปัญหาการเมืองในประเทศไม่มีผลต่อการส่งออกในธุรกิจอาหาร เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้หาวิธีที่จะช่วยเหลือตัวเองในการดำเนินธุรกิจ และมีการพูดคุยกับคู่ค้าในต่างประเทศด้วยเหตุและผล ซึ่งคู่ค้าเกือบทั้งหมดยังเชื่อมั่นในประเทศไทย และเชื่อมั่นในระบบอาหารปลอดภัยของไทย”
นางฉวีวรรณ ยังเผยถึงส่วนแบ่งการตลาดที่ ฉวีวรรณ กรุ๊ป ซึ่งมีโรงงานผลิตเนื้อไก่และไก่ปรุงสุกในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ว่า ปัจจุบันอยู่ที่ระดับกว่า 5 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมทั้งประเทศที่มีตัวเลขการส่งออกสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2551 บริษัทได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพอาหาร และเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ดังนั้น ในปี 2552-2553 จึงยังไม่มีแนวโน้มที่จะลงทุนด้านใดเพิ่ม แต่จะมองหาลู่ทางในการพัฒนาตลาดอาหารฮาลาลเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ
ปัจจุบันตัวเลขการส่งออกเนื้อไก่และไก่ปรุงสุก ที่ส่งออกและบริโภคเองในประเทศมีสัดส่วนเท่าๆ กัน ซึ่งเมื่อมองถึงความต้องการของตลาดหลักยังมีอยู่สูงแต่ประเทศไทย ยังมีข้อจำกัดเรื่องการผลิตสินค้าที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น การมองหาตลาดใหม่จึงเป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆ ทำแม้ว่าปัจจุบันเราจะเห็นว่าประเทศแถบตะวันออกกลางและแถวอเมริกาใต้ รวมถึงแอฟริกาและรัสเซียจะเป็นประเทศที่น่าสนใจก็ตาม