ASTVผู้จัดการรายวัน – สุทธิเกียรติ กร้าวเปิดแผนธุรกิจโรงแรมและอาหาร 5 ปี อัดงบลงทุน 1.3 หมื่นล้านบาทโกยรายได้ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2558 ประกาศผุดโรงแรม 2 ดาว ย่านหัวเมืองและแหล่งชุมชน จับเทรนด์นักท่องเที่ยว คาดต้นปีหน้าสรุปชื่อแบรนด์
นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยแผนธุรกิจ 5 ปี (2553-2558) ว่า กลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ป จะใช้งบประมาณลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรม 9,000 ล้านบาท และ ธุรกิจอาหารอีก 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโกยรายได้รวมจากทั้ง 2 ธุรกิจดังกล่าวในปี 2558 ที่ 18,000 ล้านบาท แต่ละธุรกิจจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีไม่น้อยกว่า 15-16%
โดยธุรกิจโรงแรม คาดว่าภายในแผน 5 ปีดังกล่าว เซ็นทารา จะมีจำนวนห้องพักรวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 10,000 ห้อง จาก 77 โรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็น 50% ลงทุนเอง อีก 50% มาจากรับบริหารจัดการ และ ร่วมลงทุนในต่างประเทศ จากปัจจุบัน เซ็นทารามีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 5,441 ห้อง จาก 25 โรงแรม แบ่งเป็น สัญญษบริหารโรงแรม 11 โรงแรม ร่วมลงทุน 4 โรงแรม และ อีก 10 โรงแรม
เป็นการลงทุนของบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด(มหาชน)
***เล็งคลอดรร.2ดาวสกัดแบรนด์นอก*****
ทางเซ็นทรัลกรุ๊ปตั้งเป้าหมายว่าจะมีโรงแรมทุกเซ็กเม้นต์ตั้งแต่ระดับ 2-6 ดาว รวมถึงบูติคโฮเทล ไว้คอยบริการลูกค้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโมเดลโรงแรมระดับ 2 ดาว คาดว่าภายในไตรมา 1 ปีหน้า จะได้ข้อสรุปเรื่องแผนลงทุนและชื่อโรงแรม(แบรนด์) และจะประเดิมเปิดให้บริการแห่งแรกในประเทศไทยได้ภายใน ไตรมาส 4 ปีหน้า ส่วนความคืบหน้า โรงแรม 3 ดาวเตรียมนำเข้าที่ประชุมบอร์ดสรุปชื่อที่จะใช้ดำเนินงาน ภายในปลายไตรมาส 1 ปีหน้า จะเริ่มเปิดให้บริการ
“ทุกเซ็กเมนต์ของโรงแรมในกลุ่มเซนทารา เราจะเปิดกว้าง ทั้งลงทุนเอง รับบริหารจัดการ และ ร่วมลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 2 ดาว จะเป็นรูปแบบอินโนเวทีฟ มีสไตล์การตกแต่ง และการลดต้นทุนในรูปแบบต่างๆ แต่ลูกค้ายังได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัย ฉีกตลาดให้โดดเด่นจากคู่แข่งขันที่เป็นบัดเจตโฮเทลและเป็นแบรนด์จากต่างประเทศ เช่น ไอ-บิส ของกลุ่ม แอคคอร์ หรือ เกสต์เฮ้าส์ ที่เป็นของผู้ประกอบการท้องถิ่น โลเกชั่น เน้น ย่านชุมชนเมือง และ หัวเมืองใหญ่ เป็นหลัก มองว่าตลาดนี้มีศักยภาพสูง เพราะไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป”
ส่วนโรงแรมระดับ 5-6 ดาว ในส่วนที่ลงทุนเองตั้งเป้าว่าจะเปิดเพิ่ม 1 โรงแรม ทุกๆ 2 ปี ใช้เงินลงทุน ครั้งละ 2,000 ล้านบาท ประเดิมแห่งแรกที่ เกาลันตา ซึ่งเป็นเงินจากกระแสเงินสดหมุนเวียน ทำให้ บริษัทไม่ต้องเพิ่มทุน ทุกแห่ง มีที่ดินพร้อมแล้ว ได้แก่ เกาะกูด หัวหิน เชียงใหม่ เกาลันตา และ เกามุก
ล่าสุดเซ็นสัญญารับบริหารเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ เมืองไคโร ประเทศ อียิปต์ เปิดบริการ ม.ค. 53 และ ที่หัวหิน เปิดบริการต้นปีหน้าเช่นกัน โดยที่ อียิปต์ ในปีหน้าจะทยอยเปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง จากกลุ่มทุนเดียวกันซึ่งได้เซ็นสัญญาให้เซ็นทาราบริหารจัดการทั้งหมด
ส่วนธุรกิจอาหารในปีหน้าวางแผนเปิดอีก 4 แบรนด์ (อ่านรายละเอียดหน้า 31)
นายสุทธิเกียรติ อย่างไรก็ตาม ปีนี้ รายได้รวม 2 ธุรกิจ อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท แบ่งเป็น จากธุรกิจโรงแรม 4,200 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 4,500 ล้านบาท ปีหน้าตั้งเป้าหมาย รายได้รวม 9,900 ล้านบาท เป็นธุรกิจโรงแรม 5,100 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 4,800 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้น จากไม่ถึง 50% มาอยู่ที่ 50% เทียบกับธุรกิจอาหาร ที่เติบโตเพราะได้เริ่มทยอยเปิดโรงแรมที่ก่อสวร้างเสร็จ เช่น เซนทาราฯพัทยา ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ และตลาดตอบรับดี และ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับแผนธุรกิจรับมือความเสี่ยวด้วยการเน้นงานด้านรับบริหารจัดการ ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อย อัตราเข้าพักของเซนทาราในประเทศไทยเฉลี่ยที่ 66% สูงกว่าตลาดรวมที่เฉลี่ยราว 45%
นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยแผนธุรกิจ 5 ปี (2553-2558) ว่า กลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ป จะใช้งบประมาณลงทุนรวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรม 9,000 ล้านบาท และ ธุรกิจอาหารอีก 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโกยรายได้รวมจากทั้ง 2 ธุรกิจดังกล่าวในปี 2558 ที่ 18,000 ล้านบาท แต่ละธุรกิจจะเติบโตเฉลี่ยต่อปีไม่น้อยกว่า 15-16%
โดยธุรกิจโรงแรม คาดว่าภายในแผน 5 ปีดังกล่าว เซ็นทารา จะมีจำนวนห้องพักรวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 10,000 ห้อง จาก 77 โรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็น 50% ลงทุนเอง อีก 50% มาจากรับบริหารจัดการ และ ร่วมลงทุนในต่างประเทศ จากปัจจุบัน เซ็นทารามีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 5,441 ห้อง จาก 25 โรงแรม แบ่งเป็น สัญญษบริหารโรงแรม 11 โรงแรม ร่วมลงทุน 4 โรงแรม และ อีก 10 โรงแรม
เป็นการลงทุนของบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด(มหาชน)
***เล็งคลอดรร.2ดาวสกัดแบรนด์นอก*****
ทางเซ็นทรัลกรุ๊ปตั้งเป้าหมายว่าจะมีโรงแรมทุกเซ็กเม้นต์ตั้งแต่ระดับ 2-6 ดาว รวมถึงบูติคโฮเทล ไว้คอยบริการลูกค้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโมเดลโรงแรมระดับ 2 ดาว คาดว่าภายในไตรมา 1 ปีหน้า จะได้ข้อสรุปเรื่องแผนลงทุนและชื่อโรงแรม(แบรนด์) และจะประเดิมเปิดให้บริการแห่งแรกในประเทศไทยได้ภายใน ไตรมาส 4 ปีหน้า ส่วนความคืบหน้า โรงแรม 3 ดาวเตรียมนำเข้าที่ประชุมบอร์ดสรุปชื่อที่จะใช้ดำเนินงาน ภายในปลายไตรมาส 1 ปีหน้า จะเริ่มเปิดให้บริการ
“ทุกเซ็กเมนต์ของโรงแรมในกลุ่มเซนทารา เราจะเปิดกว้าง ทั้งลงทุนเอง รับบริหารจัดการ และ ร่วมลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 2 ดาว จะเป็นรูปแบบอินโนเวทีฟ มีสไตล์การตกแต่ง และการลดต้นทุนในรูปแบบต่างๆ แต่ลูกค้ายังได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัย ฉีกตลาดให้โดดเด่นจากคู่แข่งขันที่เป็นบัดเจตโฮเทลและเป็นแบรนด์จากต่างประเทศ เช่น ไอ-บิส ของกลุ่ม แอคคอร์ หรือ เกสต์เฮ้าส์ ที่เป็นของผู้ประกอบการท้องถิ่น โลเกชั่น เน้น ย่านชุมชนเมือง และ หัวเมืองใหญ่ เป็นหลัก มองว่าตลาดนี้มีศักยภาพสูง เพราะไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป”
ส่วนโรงแรมระดับ 5-6 ดาว ในส่วนที่ลงทุนเองตั้งเป้าว่าจะเปิดเพิ่ม 1 โรงแรม ทุกๆ 2 ปี ใช้เงินลงทุน ครั้งละ 2,000 ล้านบาท ประเดิมแห่งแรกที่ เกาลันตา ซึ่งเป็นเงินจากกระแสเงินสดหมุนเวียน ทำให้ บริษัทไม่ต้องเพิ่มทุน ทุกแห่ง มีที่ดินพร้อมแล้ว ได้แก่ เกาะกูด หัวหิน เชียงใหม่ เกาลันตา และ เกามุก
ล่าสุดเซ็นสัญญารับบริหารเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ เมืองไคโร ประเทศ อียิปต์ เปิดบริการ ม.ค. 53 และ ที่หัวหิน เปิดบริการต้นปีหน้าเช่นกัน โดยที่ อียิปต์ ในปีหน้าจะทยอยเปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง จากกลุ่มทุนเดียวกันซึ่งได้เซ็นสัญญาให้เซ็นทาราบริหารจัดการทั้งหมด
ส่วนธุรกิจอาหารในปีหน้าวางแผนเปิดอีก 4 แบรนด์ (อ่านรายละเอียดหน้า 31)
นายสุทธิเกียรติ อย่างไรก็ตาม ปีนี้ รายได้รวม 2 ธุรกิจ อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท แบ่งเป็น จากธุรกิจโรงแรม 4,200 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 4,500 ล้านบาท ปีหน้าตั้งเป้าหมาย รายได้รวม 9,900 ล้านบาท เป็นธุรกิจโรงแรม 5,100 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร 4,800 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้น จากไม่ถึง 50% มาอยู่ที่ 50% เทียบกับธุรกิจอาหาร ที่เติบโตเพราะได้เริ่มทยอยเปิดโรงแรมที่ก่อสวร้างเสร็จ เช่น เซนทาราฯพัทยา ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ และตลาดตอบรับดี และ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับแผนธุรกิจรับมือความเสี่ยวด้วยการเน้นงานด้านรับบริหารจัดการ ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อย อัตราเข้าพักของเซนทาราในประเทศไทยเฉลี่ยที่ 66% สูงกว่าตลาดรวมที่เฉลี่ยราว 45%