กาฬสินธุ์ - วัยรุ่นป่วนเมืองก่อเหตุลอบวางเพลิงเผาอาคารเคหะกาฬสินธุ์ โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ด้านตำรวจตรวจพื้นที่เกิดเหตุพบขวดน้ำมันทิ้งไว้บริเวณรอบๆ คาดเป็นฝีมือวัยรุ่นป่วนเมือง หรือ กลุ่มคู่อริของผู้พักในอาคาร
เมื่อเวลา 05.00 น.วันนี้ (16 พ.ย.) พ.ต.ท.ดาบทอง อุทัยพรม สวป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย ร.ต.ท.ชูชาติ อิทธิสินธ์ ร้อยเวร สภ.เมืองกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริเวณชั้น 1 ของอาคารห้องเช่าการเคหะ จ.กาฬสินธุ์ หลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ระดมฉีดน้ำและสารเคมีเพื่อระงับเพลิงนานเกือบ1 ชั่วโมง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้พักอาศัยภายในเคหะกาฬสินธุ์จำนวนมาก
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอาคารห้องเช่าของการเคหะกาฬสินธุ์เลขที่ 232 ถนนอภัย เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ตั้งอยู่หลังสำนักงานธนารักษ์พื้นที่จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งอาคารห้องพักแห่งนี้เป็นตึกสูง 4 ชั้น
โดยที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชั้นหนึ่งซึ่งเป็นห้องพักผ่อนและห้องรับแขก มีกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว ที่นอกจากนี้ยังไม่กลิ่นน้ำมันเบนซินกระจายฟุ้งทั่วบริเวณ เบื้องต้นพบความเสียหายคือ ตู้หนังสือ ถูกเผาเสียหาย และห่างไปประมาณ 20 เมตรเจ้าหน้าที่ตำรวจพบคราบน้ำมันบนพื้นบริเวณกว้างและมีขวดน้ำอัดลมบรรจุน้ำมันเบนซินเหลืออยู่ จึงเก็บรวมรวมไว้เป็นหลักฐานพร้อมกับการตรวจสอบลอยนิ้วมือบริเวณที่เกิดเหตุ
ด้าน พ.ต.ท.ดาบทอง อุทัยพรม สวป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในที่เกิดเหตุได้พบขวดน้ำมันที่บรรจุอยู่ในขวดน้ำอัดลมวางอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ และตามพื้นยังมีคราบน้ำมันบริเวณกว้าง ซึ่งนอกเหนือจากการรวบรวมหลักฐานจากที่เกิดเหตุแล้วยังได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดวิทยาการเข้าตรวจสอบรอยนิ้วมือเพื่อหาตัวผู้ก่อเหตุที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากมีผู้เห็นเหตุการณ์ได้พบเด็กวัยรุ่นผู้ชาย 3 คน วิ่งออกจากอาคารเคหะระหว่างที่เพลิงกำลังลุกไหม้อย่างแรง
โดยเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นการลอบวางเพลิงของกลุ่มวัยรุ่นกวนเมือง โดยมีเหตุจูงใจ หลาย ประเด็น ทั้งเรื่องการเข้ามาข่มขู่หรือหวังทำร้ายคู่อริที่พักอยู่ในที่พักแห่งนี้ หรือความ บาดหมางใจระหว่างกลุ่มวัยรุ่นกับเจ้าของสัมปทานการเคหะจ.กาฬสินธุ์แห่งนี้ และที่ตัดทิ้งไม่ได้คือความบาดหมางใจระหว่างกิจการและธุรกิจประกอบการห้องเช่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งสืบสวนเพื่อตามมือเผามาสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากจะสร้างความตระหนกตกใจให้แก่ผู้พักแล้ว ที่เกิดเหตุยังอยู่ใกล้สถานที่ราชการหลายแห่งด้วย ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมที่อุกอาจมากเกิดไป
เมื่อเวลา 05.00 น.วันนี้ (16 พ.ย.) พ.ต.ท.ดาบทอง อุทัยพรม สวป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย ร.ต.ท.ชูชาติ อิทธิสินธ์ ร้อยเวร สภ.เมืองกาฬสินธุ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริเวณชั้น 1 ของอาคารห้องเช่าการเคหะ จ.กาฬสินธุ์ หลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ระดมฉีดน้ำและสารเคมีเพื่อระงับเพลิงนานเกือบ1 ชั่วโมง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้พักอาศัยภายในเคหะกาฬสินธุ์จำนวนมาก
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอาคารห้องเช่าของการเคหะกาฬสินธุ์เลขที่ 232 ถนนอภัย เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ตั้งอยู่หลังสำนักงานธนารักษ์พื้นที่จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งอาคารห้องพักแห่งนี้เป็นตึกสูง 4 ชั้น
โดยที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชั้นหนึ่งซึ่งเป็นห้องพักผ่อนและห้องรับแขก มีกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว ที่นอกจากนี้ยังไม่กลิ่นน้ำมันเบนซินกระจายฟุ้งทั่วบริเวณ เบื้องต้นพบความเสียหายคือ ตู้หนังสือ ถูกเผาเสียหาย และห่างไปประมาณ 20 เมตรเจ้าหน้าที่ตำรวจพบคราบน้ำมันบนพื้นบริเวณกว้างและมีขวดน้ำอัดลมบรรจุน้ำมันเบนซินเหลืออยู่ จึงเก็บรวมรวมไว้เป็นหลักฐานพร้อมกับการตรวจสอบลอยนิ้วมือบริเวณที่เกิดเหตุ
ด้าน พ.ต.ท.ดาบทอง อุทัยพรม สวป.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในที่เกิดเหตุได้พบขวดน้ำมันที่บรรจุอยู่ในขวดน้ำอัดลมวางอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ และตามพื้นยังมีคราบน้ำมันบริเวณกว้าง ซึ่งนอกเหนือจากการรวบรวมหลักฐานจากที่เกิดเหตุแล้วยังได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดวิทยาการเข้าตรวจสอบรอยนิ้วมือเพื่อหาตัวผู้ก่อเหตุที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากมีผู้เห็นเหตุการณ์ได้พบเด็กวัยรุ่นผู้ชาย 3 คน วิ่งออกจากอาคารเคหะระหว่างที่เพลิงกำลังลุกไหม้อย่างแรง
โดยเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นการลอบวางเพลิงของกลุ่มวัยรุ่นกวนเมือง โดยมีเหตุจูงใจ หลาย ประเด็น ทั้งเรื่องการเข้ามาข่มขู่หรือหวังทำร้ายคู่อริที่พักอยู่ในที่พักแห่งนี้ หรือความ บาดหมางใจระหว่างกลุ่มวัยรุ่นกับเจ้าของสัมปทานการเคหะจ.กาฬสินธุ์แห่งนี้ และที่ตัดทิ้งไม่ได้คือความบาดหมางใจระหว่างกิจการและธุรกิจประกอบการห้องเช่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งสืบสวนเพื่อตามมือเผามาสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน เพราะนอกจากจะสร้างความตระหนกตกใจให้แก่ผู้พักแล้ว ที่เกิดเหตุยังอยู่ใกล้สถานที่ราชการหลายแห่งด้วย ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมที่อุกอาจมากเกิดไป
