ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – “แม่ทัพภาค 2” สั่งทหารคุมเข้มแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่ม หลังผู้นำเขมรเหิมหนักข้อต่อประเทศไทย ยันสถานการณ์ “เขาพระวิหาร” โดยรวมยังสงบดี เผย บิ๊กทหารเขมรมีกำหนดเยือนไทยปลาย พ.ย.นี้ ที่โคราช เตรียมจัดระเบียบชายแดนนำร่อง “ช่องสะงำ” จ.ศรีสะเกษ คาดหากรูปแบบชัดเจน และทั้ง 2 ประเทศเห็นชอบจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
วันนี้ (5 พ.ย.) พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า หลังจากผู้นำประเทศของฝ่ายกัมพูชาออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อฝ่ายไทย กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งดูแลพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและคุมเข้มตามแนวชายแดนมากขึ้น กำลังพลก็มีการตื่นตัวมากขึ้น แต่ขอยืนยันว่า ความสัมพันธ์ด้านการทหารของฝ่ายไทยและกัมพูชายังเป็นไปด้วยดีและแน่นแฟ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้านปราสาทพระวิหารไม่มีสถานการณ์น่าเป็นห่วงมากนัก
ขณะนี้ทุกอย่างยังสงบดี แม้จะมีปัญหาอยู่บ้างหลังจากผู้นำกัมพูชา แสดงท่าทีสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ตาม ล่าสุด เมื่อครั้งที่เดินทางเยือนผู้นำทหารของกัมพูชา ตนได้เชื้อเชิญ พล.ท.เจีย มอญ ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 และคณะนายทหารระดับสูงของฝ่ายกัมพูชา มาเยือนประเทศไทย เบื้องต้นทางฝ่ายกัมพูชาก็ยินดี ส่วนสถานที่ในการรับรองคณะ พล.ท.เจีย มอญ คาดว่า จะใช้พื้นที่ จ.นครราชสีมา แต่จะเป็นที่ใด เมื่อไหร่ นั้นยังระบุชัดเจนไม่ได้ เพราะต้องให้ฝ่ายกัมพูชามีความพร้อมด้วย เบื้องต้นคาดว่าปลายเดือน พ.ย.หรือต้นเดือน ธ.ค.นี้
“การมาเยือนในครั้งนี้ จะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ติดแนวชายแดนมาร่วมหารือด้วย สารสำคัญที่จะพูดคุยกันคงเป็นเรื่องต่อเนื่องมาจากการไปเยือนกัมพูชา ทั้งเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของทหารบนปราสาทเขาพระวิหาร ที่จะไม่ให้เกิดการปะทะกันขึ้น การแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าตามชายแดน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจตามแนวชายแดนเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นต้น” พล.ท.วีร์วลิต กล่าว
พล.ท.วีร์วลิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่จะได้มีการหารือกันอีกเรื่องหนึ่งในการมาเยือนของคณะทหารระดับสูงของฝ่ายกัมพูชา คือ การจัดระเบียบชายแดน ซึ่งจากการหารือกันเบื้องต้นกันได้ข้อสรุปว่า จะนำร่องในพื้นที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งการเข้าออกบริเวณดังกล่าวยังมีเงื่อนไขหลายอย่าง และยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน แต่การจัดระเบียบนี้จะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวหรือให้กระทบเรื่องเส้นเขตแดน แต่จะทำอย่างไรเพื่อให้การไปมาหาสู่ของประชาชน หรือการค้าขายของประชาชนทั้ง 2 ประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสามารถเป็นไปตามกลไกของกฎหมายที่มีอยู่ได้
หากการจัดรูปแบบสมบูรณ์แล้วด่านผ่านแดนดังกล่าวจะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในเขตที่ทับซ้อน หรือเขตแดนสมมติ เช่น ศุลกากร, ด่านตรวจคนเขาเมือง (ตม.) เป็นต้น ส่วนพื้นที่ค้าขายของประชาชนอาจถอยร่นออกไปจากเขตแดนสมมุติทั้ง 2 ฝ่าย โดยไปตั้งอยู่ในพื้นที่ของใครของมัน แต่มีการไปมาหาสู่กันได้สะดวกขึ้น โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการจัดระเบียบชายแดนแห่งนี้ประมาณ 6 เดือน หลังจากตกลงในรูปแบบที่ชัดเจนและ รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ เห็นตรงกันแล้ว
“จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ เป็นช่องทางการค้าที่สำคัญของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ หากมีการจัดระเบียบได้สำเร็จตามที่วางไว้ ก็จะเป็นตัวอย่าง หรือเป็นแม่แบบในการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนอื่นๆ ต่อไป” พล.ท.วีร์วลิต กล่าว
ส่วนการเปิดอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวชมได้ นั้น เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังไม่นิ่ง ฉะนั้น ชายแดนด้านเขาพระวิหารก็คงยังต้องรักษาสถานการณ์ หรือสถานภาพตรงนี้ไปก่อน เพราะยังมีความตึงเครียดอยู่