กาญจนบุรี - ฝนถล่มอย่างหนักในพื้นที่เมืองกาญจนบุรี ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน รวมทั้งพื้นที่เกษตรในพื้นที่ 3 อำเภอของกาญจนบุรี จมบาดาล นอกจากนี้ กระแสน้ำยังพัดถนนขาดหลายสาย ทางจังหวัดระดมกำลังเข้าช่วยเหลือแล้ววันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (14 ต.ค.) ว่า น้ำป่าจากเทือกเขาพื้นที่ อ.บ่อพลอย อ.เลาขวัญ และ อ.ห้วยกระเจา ได้ไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้าน พื้นที่ทางการเกษตร และถนนสายห้วยกระเจา เลาขวัญ ขาดหลายจุด รถขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ทำให้หลายหมู่บ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ขณะที่ นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี สั่งการให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ฝ่ายปกครองกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และประกาศเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยขนย้ายสิ่งของไปอยู่ที่สูง ส่วนหมู่บ้านที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จะประสานขอกำลังทหารจากกองกำลังสุรนารีเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ด้าน นายไชโย ฤทธิรงค์ ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กาญจนบุรีว่า จากการที่มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ใน จ.กาญจนบุรี ทำให้เกิดอุทกภัย น้ำท่วมขังในพื้นที่ทำกินของราษฎรและถนนหนทางได้รับความเสียจำนวนมาก โดยที่ได้รับรายงานทราบว่ามีความเสียหายแล้ว 3 อำเภอ คือ อ.บ่อพลอย ในพื้นที่ ต.ช่องด่าน, ต.หรอนรี และ ต.หนองกุ่ม, อ.เลาขวัญ ในพื้นที่ ต.หนองนกแก้ว, ต.หนองประดู่, ต.ทุ่งกระบ่ำ และ ต.หนองโสน
ส่วนอีกอำเภอ คือ ที่ อ.ห้วยกระเจา ในพื้นที่ ต.สมเด็จเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่ม หนักหน่อยน้ำท่วมทั้งที่ทำกินและถนนสายหลักเข้าหมู่บ้านเสียหายจำนวนหลายร้อยครัวเรือน ขณะนี้กำลังทำการสำรวจความเสียหายอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับน้ำท่วมในพื้นที่ อ.ห้วยกระเจา นอกจาก ต.สมเด็จเจริญ ในพื้นที่ ต.สระลงเรือ ก็เกิดน้ำท่วมเช่นกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) โดยน้ำป่าได้ไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่กว่า 1 หมื่นไร่ พื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายกว่า 5 พันไร่
นายเทพประสิทธิ์ วงษ์ท่าเรือ นายอำเภอห้วยกระเจา เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วมตำบลสระลงเรือครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายปี เบื้องต้นตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างเร่งด่วน และจากการประเมินค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากไม่มีฝนตกลงมาอีกคากว่าภายใน 1 อาทิตย์น้ำคงจะลดปริมาณลง และสามารถสำรวจพื้นที่ความเสียหายและค่าเสียหายได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (13 ต.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้สั่งกำชับให้เฝ้าระวังภัยน้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง และในวันนี้ 14 ต.ค.เวลา ประมาณ 08.30 น.รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี จะเดินทางมาสำรวจพื้นที่ พร้อมกับแจกสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนต่อไป
ด้าน นายอนุชา สุขเชิงชาย นายกเทศมนตรีตำบลสระลงเรือ เปิดเผยว่า พายุฝนได้ตกลงมาอย่างหนักตลอดระยะเวลา 6 วันที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะเกิดน้ำท่วมแต่อย่างใด ซึ่งช่วงเช้าที่ผ่านมาปริมาณของน้ำที่ท่วมขังตามพื้นที่เกษตรก็ยังไม่อยู่ในระดับสูงมากนัก แต่พอมาถึงเวลาประมาณ 13.30 น.เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) ก็ปรากฏว่ามีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็น ไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย และไร่นา
จากการตรวจสอบเบื้องต้นเฉพาะน้ำที่เข้าท่วมพื้นที่ ต.สระลงเรือ โดยเฉพาะหมู่ที่ 12 มีพื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายประมาณ 5 พันไร่ ซึ่งในวันนี้ (14 ต.ค.) ถึงจะเร่งออกสำรวจพื้นที่ความเสียหายอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาทางช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (14 ต.ค.) ว่า น้ำป่าจากเทือกเขาพื้นที่ อ.บ่อพลอย อ.เลาขวัญ และ อ.ห้วยกระเจา ได้ไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนชาวบ้าน พื้นที่ทางการเกษตร และถนนสายห้วยกระเจา เลาขวัญ ขาดหลายจุด รถขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ทำให้หลายหมู่บ้านถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ขณะที่ นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี สั่งการให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ฝ่ายปกครองกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และประกาศเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยขนย้ายสิ่งของไปอยู่ที่สูง ส่วนหมู่บ้านที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จะประสานขอกำลังทหารจากกองกำลังสุรนารีเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ด้าน นายไชโย ฤทธิรงค์ ป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กาญจนบุรีว่า จากการที่มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ใน จ.กาญจนบุรี ทำให้เกิดอุทกภัย น้ำท่วมขังในพื้นที่ทำกินของราษฎรและถนนหนทางได้รับความเสียจำนวนมาก โดยที่ได้รับรายงานทราบว่ามีความเสียหายแล้ว 3 อำเภอ คือ อ.บ่อพลอย ในพื้นที่ ต.ช่องด่าน, ต.หรอนรี และ ต.หนองกุ่ม, อ.เลาขวัญ ในพื้นที่ ต.หนองนกแก้ว, ต.หนองประดู่, ต.ทุ่งกระบ่ำ และ ต.หนองโสน
ส่วนอีกอำเภอ คือ ที่ อ.ห้วยกระเจา ในพื้นที่ ต.สมเด็จเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่ม หนักหน่อยน้ำท่วมทั้งที่ทำกินและถนนสายหลักเข้าหมู่บ้านเสียหายจำนวนหลายร้อยครัวเรือน ขณะนี้กำลังทำการสำรวจความเสียหายอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับน้ำท่วมในพื้นที่ อ.ห้วยกระเจา นอกจาก ต.สมเด็จเจริญ ในพื้นที่ ต.สระลงเรือ ก็เกิดน้ำท่วมเช่นกันตั้งแต่เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) โดยน้ำป่าได้ไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่กว่า 1 หมื่นไร่ พื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายกว่า 5 พันไร่
นายเทพประสิทธิ์ วงษ์ท่าเรือ นายอำเภอห้วยกระเจา เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วมตำบลสระลงเรือครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายปี เบื้องต้นตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างเร่งด่วน และจากการประเมินค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากไม่มีฝนตกลงมาอีกคากว่าภายใน 1 อาทิตย์น้ำคงจะลดปริมาณลง และสามารถสำรวจพื้นที่ความเสียหายและค่าเสียหายได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (13 ต.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้สั่งกำชับให้เฝ้าระวังภัยน้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง และในวันนี้ 14 ต.ค.เวลา ประมาณ 08.30 น.รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี จะเดินทางมาสำรวจพื้นที่ พร้อมกับแจกสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนต่อไป
ด้าน นายอนุชา สุขเชิงชาย นายกเทศมนตรีตำบลสระลงเรือ เปิดเผยว่า พายุฝนได้ตกลงมาอย่างหนักตลอดระยะเวลา 6 วันที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะเกิดน้ำท่วมแต่อย่างใด ซึ่งช่วงเช้าที่ผ่านมาปริมาณของน้ำที่ท่วมขังตามพื้นที่เกษตรก็ยังไม่อยู่ในระดับสูงมากนัก แต่พอมาถึงเวลาประมาณ 13.30 น.เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) ก็ปรากฏว่ามีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็น ไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย และไร่นา
จากการตรวจสอบเบื้องต้นเฉพาะน้ำที่เข้าท่วมพื้นที่ ต.สระลงเรือ โดยเฉพาะหมู่ที่ 12 มีพื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายประมาณ 5 พันไร่ ซึ่งในวันนี้ (14 ต.ค.) ถึงจะเร่งออกสำรวจพื้นที่ความเสียหายอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาทางช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป