ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – อาการอาพาธ “หลวงพ่อคูณ” หายเป็นปกติ แพทย์หยุดให้ยาต้านไว้รัสโอเซลทามิเวียร์-ซานามิเวียร์ เฝ้าสังเกตอาการแทรกซ้อนอีก 2 วันก่อนให้กลับวัดบ้านไร่ 20 ส.ค.นี้ เผยผลตรวจ รพ.จุฬาฯ ยันไม่พบเชื้อหวัด 2009 เตรียมเก็บส่งตรวจละเอียดอีกครั้ง กำชับหยุดเคาะหัว 1 เดือน วอนศิษย์อย่านิมนต์ไปไกลท่านอายุมากแล้ว ด้านหลวงพ่อคูณบอก หายดีแล้ว ไม่เป็นอะไร อยากกลับวัด เชื่อคนไทยไม่แตกแยกเพราะมีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอาการอาพาธของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นวันที่ 6
ล่าสุด วันนี้ (18 ส.ค.) อาการโดยรวมหลวงพ่อคูณหายเป็นปกติแล้ว ตื่นจำวัดเวลา 06.00 น. ทำกิจธุระส่วนตัว ก่อนที่ลูกศิษย์จะพาเดินออกกำลังกายบริเวณหน้าห้องผู้ป่วย และชมดอกไม้พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ตั้งอยู่บนแท่นโต๊ะหมู่ ซึ่งหลวงพ่อคูณยิ้มแย้มด้วยความปลาบปลื้มก่อนเดินกลับเข้าห้องพักผู้ป่วย
จากนั้นได้ฉันภัตตาหารที่ลูกศิษย์นำมาถวาย ซึ่งหลวงพ่อคูณสามารถฉันภัตตาหารคาวหวานที่ลูกศิษย์นำมาถวายได้มาก ต่อมา นพ.กวี ไชยศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พร้อมด้วย นพ.วีรศักดิ์ เกียรติผุดงกุล รองผู้อำนวยการฯ และ นพ.พินิจจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เข้าตรวจอาการและสอบถามอาการจากหลวงพ่อคูณ
นพ.กวี ไชยศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า อาการหลวงพ่อคูณดีขึ้นมาก ระบบร่างกายทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แพทย์ได้หยุดให้ยาโอเซลทามิเวียร์ และ ซานามีเวียร์ ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้ว จากนี้จะสังเกตอาการต่อไปอีกประมาณ 2 วัน หากไม่มีอะไรแทรกซ้อนแพทย์จะอนุญาตให้หลวงพ่อกลับไปพักฟื้นที่วัดบ้านไร่ได้ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ส.ค. นี้
ด้าน นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ เปิดเผยว่า ผลการตรวจสารคัดหลั่งและเลือดหลวงพ่อจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ ออกมาแล้ว ผลเป็นลบ (Negative) ไม่พบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำให้เราคิดว่าเป็นโรคดังกล่าวน้อยลง แต่ก็มีโอกาสเป็นได้ โดยอาจเป็นไวรัสตัวอื่นก็ได้ เพราะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อไวรัสที่ให้ไปเป็นอย่างดี เราอาจต้องใช้การตรวจวิธีอื่นอีก เพื่อยืนยันผลให้แน่ชัดต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากท่านกลับวัดบ้านไร่ไป แพทย์ก็เป็นห่วง แม้ว่าศิษย์ผู้ใกล้ชิดจะสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อเข้าไปปรนนิบัติท่านตามแพทย์สั่ง แต่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้และเกรงว่าจะนำเชื้อโรคมาติดท่านคือ ญาติโยมที่ไปกราบไว้ท่านซึ่งแต่ละวันมีเป็นจำนวนมาก
“ต้องฝากให้ศิษยานุศิษย์ทุกคนช่วยกันดูแลท่าน เวลาเข้าไปกราบท่านอย่าเข้าใกล้มากนัก ควรห่างประมาณ 1 เมตร เพราะท่านอายุ 86 ปีแล้ว เท่าที่ดูหลวงพ่อก็พอทราบว่าท่านไม่อยากที่จะเดินทางไปไหนไกลๆ แล้ว ซึ่งการนิมนต์หลวงพ่อไปไกลทุกครั้งเมื่อท่านกลับมาน้ำหนักท่านจะลดลงประมาณ 2 กิโลกรัมซึ่งจะทำให้ภูมิต้านทานท่านลดลงและมีโอกาสติดเชื้อหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นตามมาได้
ฉะนั้น ถ้ารักท่านเป็นห่วงท่านก็ไม่ต้องนิมนต์ท่านไปไหนไกล ส่วนการเคาะศีรษะญาติโยม นั้น หลังกลับจากโรงพยาบาลอยากให้หยุดไว้ก่อนเพราะยังไม่แข็งแรง อย่างน้อย 1 เดือนจะดีที่สุด”
นพ.พินิศจัย กล่าวอีกว่า ต้องขอบคุณทีมแพทย์ของโรงพยาบาลด่านขุนทด อย่างมากในการดูแลเฝ้าตรวจอาการอาพาธหลวงพ่อคูณในครั้งนี้ เพราะที่นั่นเป็นหน้าด่านที่คอยดูแลหลวงพ่อในเบื้องต้น และ มีการประสานงานกับทางโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาตลอด ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้การรักษาดีขึ้นตามลำดับนั้นก็เพราะได้โรงพยาบาลด่านขุนทดช่วยเหลือ
ขณะที่ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กล่าวว่า “อาการกูดีแล้ว จำวัดได้ดี อยากกลับวัดบ้านไร่แล้ว แต่หมอยังไม่ได้บอกอะไร ตอนนี้กูก็ไม่มีห่วงอะไรด๊อกหลานเอย... ถ้าหมอห้ามเคาะหัว 2-3 วัน กูก็ทำได้ไม่เป็นไร นอกจากนี้ หลวงพ่อคูณยังพูดถึงกรณีแก๊งปาหินใส่รถของประชาชน ทำให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ว่า แก้ไม่ยาก เอาจริงเอาจังก็แก้ปัญหาได้แล้ว”
ส่วนกรณีคนไทยแตกแยกสามัคคีกันนั้น หลวงพ่อคูณกล่าวว่า “แล้วแต่มันจะแตกแยกกัน ก็มีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวกันจะไปแตกแยกกันทำไม มันเป็นการพูดกันไปว่าคนไทยแตกแยกกัน ซึ่งความจริงแล้วคนไทยเขาผนึกกำลังกัน เขาไม่ได้มีการแตกแยกกัน ด๊อก...”