ศูนย์ข่าวขอนแก่น-เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย มั่นใจลู่ทางขยายการค้า/ลงทุน ไทย-กัมพูชามีสูง ภายหลัง “อภิสิทธิ์” รุดเจรจา “ฮุนเซน” แก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศราบรื่น ระบุฐานรายได้ประชากรกัมพูชาสูง เชื่อเป็นโอกาสสินค้าไทยขยายตลาด ด้านนายกสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เผยการบริโภคสินค้าในกัมพูชาต้องนำเข้าสินค้ามากกว่า 80% มั่นใจเป็นโอกาสดีให้นักลงทุนทุนไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตหลากประเภทป้อนตลาดกัมพูชา แนะรัฐเป็นผู้นำกระชับความสัมพันธ์เชื่อมการค้าทั้ง 2 ประเทศ
วันนี้( 16 ม.ย.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมกับ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “โอกาสและความท้าทายในการค้าการลงทุนในประเทศกัมพูชา” โดยมี H.E. Lok Chumteav YOU AY เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ร่วมปาฐกถาพิเศษ ให้แก่นักธุรกิจ นักลงทุน เจ้าหน้าที่รัฐ ในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ณ ห้องมรกต 1 โรงแรมบุษราคัม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
วัตถุประสงค์การจัดสัมมนาดังกล่าว เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน ขั้นตอนการดำเนินกิจการ และสถานการณ์การลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในประเทศกัมพูชา เช่น ท่านเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ประจำกรุงพนมเปญ พร้อมด้วยนักลงทุน และนักวิชาการที่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนในกัมพูชา มาให้ความรู้แก่ผู้ร่วมสัมมนา
นางยู ออย เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย หยิบยกถึงศักยภาพตลาดในประเทศกัมพูชา ดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจในพื้นที่ภาคอีสาน เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยประเด็นหลักคือกัมพูชา เพิ่งเปิดประเทศ ที่ผ่านมามีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปทำการค้าและลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศกัมพูชา
สำหรับสินค้าไทยในสายตาของชาวกัมพูชา เป็นสินค้าคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของชาวกัมพูชาสูงมาก แต่การซื้อสินค้าที่ผ่านมาจะซื้อสินค้าที่ผลิตจากประเทศเวียดนาม เนื่องจากราคาถูก แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากประชาชนชาวกัมพูชา มีฐานรายได้ประชากรสูงขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น จึงหันมาให้ความสนใจเลือกซื้อสินค้าไทย อีกทั้งผลไม้ไทยก็เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่สามารถขยายตลาดไปยังประเทศกัมพูชาได้
การเปิดตลาดการค้าระหว่าง 2 ประเทศ จะเกิดประโยชน์มหาศาลแก่ประชากรทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ในอนาคต หากประชาชนในประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้น เป็นโอกาสดีที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา โดยกัมพูชามีที่ดินพร้อมให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตร
เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กล่าวถึงกรณีวิกฤตทางการเมืองและปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า ผู้ที่เสียประโยชน์คือ ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะฝ่ายไทยจะเป็นฝ่ายที่เสียผลประโยชน์มากกว่า เพราะวัดจากดุลการค้าระหว่างประเทศ ไทยส่งออกสินค้าไปกัมพูชาถึง 10 ส่วน แต่กัมพูชาส่งออกไปยังไทยเพียงแค่ 3 ส่วนเท่านั้น ซึ่งช่วงเกิดความขัดแย้ง รัฐบาลกัมพูชาจะรณรงค์ไม่ให้มีการต่อต้านสินค้าไทยอย่างจริงจัง
ชี้ “อภิสิทธิ์” เยือน “ฮุนเซน” ส่งผลดีต่อการค้า 2 ประเทศ
ทั้งนี้ กรณีการเดินทางเยือนกัมพูชาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย ที่ได้พบปะเจรจากับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จดี ทั้ง 2 ฝ่ายมีความจริงใจ กระชับเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยมีความเห็นตรงกันต่อการควบคุมสถานการณ์ปัญหาชายแดนไม่ให้กระทบกระทั่งกัน
ทั้งจะมีการขยายการค้าระหว่าง 2 ประเทศให้มากที่สุด และปรับปริมาณการค้าให้ใกล้เคียงกันมากขึ้น และร่วมกันผลักดันด้านการท่องเที่ยวที่ 2 ประเทศมีศักยภาพให้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ที่สำคัญการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางคมนาคม โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข 68 พร้อมแก้ไขพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล จะเสริมสร้างบรรยากาศด้านการค้าและการลงทุนทั้ง 2 ประเทศได้ดียิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันนางจีรนันท์ วงษ์มงคล อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ประจำกรุงพนมเปญ กล่าวว่า การขยายตลาดการค้าการลงทุนระหว่างไทยกัมพูชา มีโอกาสขยายตัวสูงมาก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีชายแดนติดต่อกัน และมีด่านการค้าถึง 6 ช่องทาง ทั้งกัมพูชาเป็นประเทศเดียวที่ไทยสามารถส่งออกสินค้าเข้าไปยังกัมพูชาโดยไม่ต้องมีใบรับรอง เป็นโอกาสที่จะขยายการส่งออกเข้าไปยังกัมพูชาได้สูง
ที่สำคัญกัมพูชาเป็นประเทศเดียว ที่ให้การยอมรับเงินบาทไทย ในการทำธุรกรรมการค้าในระบบสถาบันการเงิน ควบคู่กับเงินเรียล ของกัมพูชา และเงินดอลลาร์สหรัฐ สามารถนำฝากในระบบธนาคารของกัมพูชา ทั้งยังสามารถรับชำระค่าสินค้าภายในกัมพูชาได้เช่นกัน อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทยได้
นักธุรกิจไทยเชื่อโอกาสขยายการค้ามีสูง
ด้านนายสมศักดิ์ รินเรืองสิน นายกสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา พบว่า ชาวกัมพูชาให้การยอมรับในสินค้าไทยสูงมาก ปริมาณการใช้สินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่า 80-90% เป็นสินค้าที่ผลิตมาจากประเทศไทย แต่สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย ทำให้สินค้าจากประเทศอื่น เช่น เวียดนาม เบียดแทรกตลาดสินค้าในกัมพูชาได้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการบริโภคสินค้าของประชาชนในประเทศกัมพูชา ณ ปัจจุบัน มีการผลิตสินค้าใช้เองในประเทศ ในสัดส่วนที่ต่ำมาก โดยสัดส่วนการบริโภคสินค้า มากกว่า 80% เป็นการนำเข้าสินค้าเข้ามาบริโภคในประเทศ เพราะเพิ่งเปิดประเทศมาไม่นาน ถือเป็นโอกาสที่ดี ที่นักลงทุนไทย จะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าหลากหลายชนิด มุ่งรองรับความต้องการบริโภคของประชาชนชาวกัมพูชาเป็นหลัก
“ภาพรวมด้านการลงทุนที่ผ่านมา นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในกัมพูชาที่เปิดประเทศครั้งแรกเมื่อปี 1991-1992 นั้น ไทยมีสัดส่วนและปริมาณการลงทุนในกัมพูชามากที่สุด แต่ปัจจุบันปริมาณการลงทุนไทยในกัมพูชา กลับมีสัดส่วนตกลงไปอยู่อันดับที่ 5 หรือ 6 ถูกประเทศจีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเวียดนาม เบียดแซงไป เนื่องจาก การลงทุนของจีน เกาหลีใต้ จะใช้ภาครัฐต่อรัฐ นำหน้าเจรจาการลงทุนให้กับเอกชน ทั้งมีปริมาณการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก ขณะที่ภาคการเมืองไทย มีจุดอ่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อย”นายสมศักดิ์ กล่าวและว่า
การเดินทางเยือนกัมพูชา ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เป็นโอกาสดีในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเสนอให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป เป็นผู้นำภาคเอกชนในการกระชับความสัมพันธ์เชื่อมโยงการค้าให้มีปริมาณมากขึ้น