ตาก- UNHCR ตลอดจนองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งใน-ต่างประเทศ เร่งให้ความช่วยเหลือกะเหรี่ยงลี้ภัยแล้ว หลังทะลักข้ามฝั่งหนีผลกระทบจากการสู้รบระหว่างทหารพม่า-KNU อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชายแดนไทยมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ต้องระวังโรคติดต่อและต้องการอาหาร น้ำดื่ม ยาเวชภัณฑ์ ด้านทหารพม่ายังคงโจมตีกะเหรี่ยงคริสต์ไม่หยุด
รายงานข่าวจากจังหวัดตาก แจ้งถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-พม่า อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างทหารพม่า-DKBA ที่ร่วมกันโจมตีกองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์(KNU) จนทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบหนีภัยสงครามข้ามมาฝั่งไทยจำนวนมากว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ (UNHCR) และองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ต่างนำสิ่งของ อาหารไปช่วยเหลือผู้หนีภัยจากการสู้รบที่สำนักสงฆ์ บ้านหนองบัว ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จ.ตาก หลังจากที่ พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ขอความช่วยเหลือจากองค์กรดังกล่าวก่อนหน้านี้
โดยขณะนี้ฝ่ายกะเหรี่ยงที่ดูแลผู้ลี้ภัยแจ้งว่า มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นกว่า 3,000 คนในพื้นที่ 3 แห่ง คือ บ้านแม่อุสุ ตำบลแม่อุสุ 2 แห่ง และบ้านหนองบัว 1 แห่ง ขณะที่ผู้ลี้บ้านหนองบัว บางส่วนอาศัยอยู่ในศาลานักสงฆ์ แต่ก็มีอีกนับร้อยคนทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ต้องอาศัยในใต้ถุนวัด เนื่องจากพื้นที่รองรับไม่เพียงพอ และมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่เจ้าหน้าที่ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 อ.แม่สอด ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอท่าสองยาง และองค์กรพัฒนาภาคเอกชนให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
พ.อ.นพดล วัชรจิตบวร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 อ.แม่สอด กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีองค์กรต่างๆ เข้าไปให้ความช่วยเหลือแล้ว และจะมีการรวบรวมผู้ลี้ภัยไว้เพียง 2 แห่งคือ ที่บ้านแม่อุสุ และที่บ้านหนองบัว ส่วนสถานการณ์การสู้รบทางฝ่ายรัฐบาลทหารพม่ายังคงระดมยิงใส่ที่มั่นฝ่ายชนกลุ่มน้อย แต่ยังไม่มีผลกระทบต่อฝ่ายไทยแต่อย่างใด
ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งกล่าวว่า เหตุที่หนีเข้ามาเขตไทยเพราะกลัวทหารพม่าจับไปเป็นลูกหาบแบกกระสุนปืนไปสู่แนวรบและยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะกลับไปเมื่อไหร่ แต่ถ้าเหตุการณ์สงบก็จะกลับไป ส่วนการอยู่ในเขตไทยรู้สึกว่ามีความปลอดภัยดี แต่ก็ยังกลัวทหารพม่า หากพม่าเข้ามายึดครองพื้นที่คงจะต้องขอเข้าไปอยู่ศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยสงครามชาวกะเหรี่ยง
ล่าสุดผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ รวมทั้ง UNHCR ที่นำพลาสติกขนาดใหญ่ จำนวน 100 ผืนเข้าไปให้ความช่วยเหลือแล้ว อย่างไรก็ดีผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงต้องเผชิญชะตากรรมกับการสู้รบที่จะต้องยาวนานในช่วงฤดูฝน เช่นเดียวกับเด็กๆชาวกะเหรี่ยงนับหลายร้อยคน ต้องหยุดเรียน และทิ้งโรงเรียนจากฝั่งพม่า หรือหมู่บ้านบือละแฮมาอาศัยอยู่ในเขตไทย
แหล่งข่าวจากนายทหารระดับสูงของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงอิระ เคเอ็นยู กล่าวว่า พล.อ.หม่องเอ ผู้บัญชาการทหารบกพม่า และผู้นำ SPDC (สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ)ได้สั่งการให้ทหารรัฐบาลพม่าที่ประจำการชายแดน กองทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ นำกำลังทหารมากถึง 1 กองพล หรือ 10 กองพัน ทั้งกองพันทหารราบ กองพันจู่โจม กองพันอาวุธปืนหนัก กองพันเคลื่อนที่เร็ว กองพันเสนารักษ์และพลาธิการเต็มอัตราศึก เพื่อปราบปรามกะเหรี่ยงการ ซึ่งการสู้รบมาตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายนเป็นต้นมา ฝ่ายรัฐบาลพม่าเหยียบกับระเบิดเสียชีวิต 8-10 คน ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 40 คน
“พวกเขาต้องการปราบปรามเคเอ็นยู ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปปี 2010 การกระทำของฝ่ายรัฐบาลเป็นการไม่แสวงหาแนวทางสันติภาพ แต่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่เพียงแต่ทหารเคเอ็นยูได้รับความเดือดร้อนอย่างเดียว แต่ประชาชนทั้งคนชราทั้งชาย หญิง และเด็ก หลายพันคนต่างได้รับความเดือดร้อนไม่มีที่อยู่อาศัย ขาดแคลนอาหาร และสุดท้ายต้องหนีไปฝั่งประเทศไทย”