ศูนย์ข่าวขอนแก่น - รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ผอ.ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลผ่านผู้ว่าฯ ขอนแก่น ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หวั่นภาพลักษณ์ชาติเสียหาย ลั่นสวมเสื้อแดงขึ้นเวทีม็อบไล่รัฐบาลด้วยอุดมการณ์ส่วนตัว ไม่หนักใจข่าวจะถูกออกหมายจับ แต่วอนเจ้าหน้าที่อย่าใช้ 2 มาตรฐาน ยันชุมนุมอย่างสงบ พร้อมปลอบโยนคนเสื้อแดงให้สู้ต่อเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่ต้องการ แม้ต้องใช้ความอดทนสูง
บ่ายวันนี้ (22 เม.ย.) ที่หน้าอาคารศาลากลางจังหวัดขอนแก่นหลังใหม่ รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ผอ.ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดินทางมาพร้อมด้วยชาวบ้าน กว่า 60 คน ที่มาให้กำลังใจ โดยมีดอกกุหลาบสีแดงและป้ายข้อความ เช่น คุณหมอเชิดชัยนักสู้เพื่อประชาธิปไตย, คุณหมอเป็นคนดี, คุณหมอเชิดชัยสู้สู้ เป็นต้น
รศ.นพ.เชิดชัย กล่าวหลังจากยื่นหนังสือถึงรัฐบาลผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น โดยมีนายทรงพล จำปาพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นผู้รับหนังสือแทนว่า หนังสือดังกล่าวต้องการให้รัฐบาลรู้ว่า การชุมนุมที่จังหวัดขอนแก่นของคนเสื้อแดงไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ เป็นการชุมนุมอย่างสงบ และน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการชุมนุมที่จังหวัดอื่นจะดูเป็นแบบอย่าง
ส่วนการปิดสถานีโทรทัศน์ NBT เนื่องจากเป็นอารมณ์ของประชาชนที่ทนไม่ได้กับการเสนอข่าวด้านเดียวของรัฐบาล จึงมีการเคลื่อนไหวไปกดดัน โดยตนขอยืนยันว่าไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดงขอนแก่น แต่ยอมรับว่าสวมเสื้อแดง เพื่อนำขบวนและกล่าวปราศรัยกับพี่น้องผู้ชุมนุมจริง เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้น เนื่องจากมีกระแสข่าวมาตลอดว่าจะมีการเผา NBT ขอนแก่น
รศ.นพ.เชิดชัย เปิดเผยว่า จากข่าวลือดังกล่าวทำให้ตนตัดสินใจเป็นผู้นำมวลชนเคลื่อนจากNBT ไปปิดถนนมิตรภาพที่แยกบ้านกุดกว้างแทน เพื่อไม่ให้เกิดการเผา NBT ซึ่งจากการปิดถนนอาจส่งผลกระทบกับผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงนั้น ซึ่งตรงกับเทศกาลสงกรานต์ก็ต้องขออภัย
ทั้งนี้ ไม่อยากให้กลายเป็นภาพความรุนแรงจนมีการนำไปแจ้งความเอาผิดกัน ตามที่มีนายตุล ประเสริฐศิล เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่นขอนแก่น เข้าไปแจ้งความต่อผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้จับกุมดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดงและผู้ร่วมชุมนุม ซึ่งเหตุนี้ตนจึงต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากทุกคนชุมนุมโดยสงบ
นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นผลเสียต่อประเทศ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข โฟนอินไปยังสำนักข่าว BBC โดยระบุว่าจะล้มล้างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ได้ ซึ่งอาจมีการใช้อาวุธนั้น รศ.นพ.เชิดชัย แสดงความคิดเห็นว่า เป็นความคิดส่วนตัวของนายจักรภพ
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่ารัฐบาลต้องรีบหาทางเจรจา เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของคนในรัฐบาล แต่เป็นของประชาชนคนไทยทุกคน ดังนั้นต้องไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงหรือใช้อาวุธ
ส่วนกรณีมีข่าวลือว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับแกนนำคนเสื้อแดงขอนแก่นไปแล้ว โดยมี ชื่อของ รศ.นพ.เชิดชัยด้วยนั้น รศ.นพ.เชิดชัย ยอมรับว่ามีข่าวจริง ซึ่งยังไม่รับการติดต่อจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด พร้อมที่จะเข้าไปรายงานตัว แม้ว่าจะยังไม่มีหมายเรียก ซึ่งไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใด แต่อยากขอร้องให้เจ้าหน้าที่อย่าใช้ 2 มาตรฐานในการดำเนินคดีกับคนเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากขึ้นเวทีเสื้อแดง รศ.นพ.เชิดชัย กล่าวว่ามีคนโทรศัพท์มาให้กำลังใจเยอะมาก เพราะทั้งคนไข้ และคนที่รู้จัก ต่างรู้ดีว่าการตัดสินใจทางการเมืองของตนเป็นสิทธิส่วนบุคคล ถือเป็นอุดมการณ์ส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ในการรักษาคนไข้ ซึ่งตนยังทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยทุกคนตามปกติ ไม่เคยแบ่งว่าผู้ป่วยมีความเห็นทางการเมืองตรงกับตนหรือไม่อย่างไร จึงไม่รู้สึกมีความกดดันใดๆ ทั้งสิ้น
อดีตผู้อำนวยการศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทักทายชาวบ้านที่มามอบดอกไม้ให้กำลังใจพร้อมกล่าวปลอบโยนว่า “เป็นกำลังใจให้พี่น้องทุกคน ขอให้สู้กันต่อไปเพื่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การสู้เพื่อประชาธิปไตยจะต้องใช้ความอดทนสูงมากๆ แต่ขอให้อดทนกันทุกคน แล้วชัยชนะก็จะมาถึง” ชาวบ้านต่างส่งเสียงเฮและปรบมือพอใจก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป
สำหรับกรณ๊การชุมนุมปิดถนนและปิด NBT ขอนแก่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้นายตุลย์ ประเสริฐศีล ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่นจังหวัดขอนแก่น และตัวแทนชาวบ้าน ได้ทำหนังสือแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ แกนนำคนเสื้อแดง รวม 13 คน มีทั้งส.ส.พรรคเพื่อไทย และมีชื่อของ รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ และนางพรรณวดี ตันติศิรินทร์ ภรรยา ซึ่งเคยเป็นผู้ประสานเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง หรือพีเน็ตขอนแก่น เคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตเลือกตั้งมาหลายปี รวมอยู่ด้วย
คดีดังกล่าว พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี ผบก.ภจว.ขอนแก่น เปิดเผยว่าได้สอบพยานแล้ว 22 ปาก และสรุปสำนวนคดีเสร็จเรียบร้อยคาดว่าจะส่งศาลออกหมายจับได้ไม่เกินวันพุธที่ 22 เม.ย. แต่มีคำสั่งจาก พล.ต.ต.วรนิต ทองมี รองผู้บัญชาการภาค 4 ให้กลับไปทำการสอบสวนรวมรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยไม่ได้กำหนดเวลา เช่นเดียวกับสำนวนคดีของจังหวัดหนองคาย และอุดรธานี
