ศูนย์ข่าวศรีราชา - สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ จัดสัมมนาเพื่อผลักดันการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออก หวังประชาสัมพันธ์มาตรการช่วยเหลือนักลงทุนทั้งในและต่างเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกจนทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าลดลงส่งผลผู้ประกอบการต้องชะลอการลงทุนออกไป โดย ผอ.บีโอไอ ตอ.ระบุตัวเลขการขอส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกปี 2552 ส่อเค้าลดลง 10-20% มั่นใจภาคผลิตขนาดใหญ่จะไม่ย้ายฐานไปประเทศเพื่อนบ้าน เพราะความพร้อมทางภูมิศาสตร์ที่เหนือกว่า ด้าน รมว.อุตสาหกรรม ประกาศเดินหน้าอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลปกครองที่ประกาศให้พื้นที่มาบตาพุต จังหวัดระยองเป็นเขตควบคุมมลพิษอ้างมีหน้าที่ส่งเสริมการลงทุน
วันนี้ (30 มี.ค.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้จัดให้มีการสัมมนาในหัวข้อ “ผลักดันการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคตะวันออก” ณ โรงแรมดุสิตธานีพัทยา จังหวัดชลบุรี เพื่อให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติรวมถึงผู้เข้าร่วมสัมมนาที่ส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรีและภาคตะวันออกเกือบ 600 คน ได้ทราบถึงนโยบายและทิศทางส่งเสริมการลงทุนในอนาคต รวมถึงมาตรการกระตุ้นการลงทุนในปีแห่งการลงทุน 2551-2552 และการขยายหลักเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนโครงการที่ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมในเขต 2 และในจังหวัดระยอง โดยมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรื่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและมีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมและอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานร่วมอภิปราย
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมในช่วงที่ผู้ประกอบการกำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกว่า นอกจากการเดินสายจัดโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนแล้ว การจัดสัมมนาเพื่อประชาสัมพันธ์มาตรการช่วยเหลือต่างๆ ยังจะสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคอุตสาหกรรมในต่างจังหวัด นักลงทุนท้องถิ่นรวมถึงต่างชาติที่ขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศให้เดินหน้าลงทุนต่อไป ทั้งนี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา พบว่าเมื่อ 5 ปีก่อนภาคตะวันออกมีการขอส่งเสริมการลงทุนกว่า 2 พันโครงการ มีเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ถือเป็นสัดส่วนที่มากถึงร้อยละ 53 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด
“วันนี้เราได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก รัฐบาลก็พยายามที่จะหานโยบายในการช่วยเหลือประชาชนและนักลงทุนให้สามารถประคองตัวอยู่ได้ และที่ผ่านมาก็สนับสนุนงบประมาณกว่า 2 พันล้านบาทในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้มีความพร้อมในการขนส่งทางอากาศมากขึ้น ขณะที่การอนุมัติการลงทุนใหม่ก็จะเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศออกไปตรวจสอบการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในท้องถิ่นให้ดำเนินการในเรื่องการกำจัดขยะ กำจัดควันและกลิ่นเพื่อไม่ให้กระทบต่อชุมชน”
ส่วนปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง ถือเป็นปัญหาที่เกิดจากการเข้ามาอย่างรวดเร็วของกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในระยะ 5 ปีที่มีการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ผลที่ตามมาก็คือจุดอ่อนของผู้ประกอบการที่ไม่มีความพร้อมและขาดการลงทุนในเรื่องของการบำบัดน้ำเสีย การบำบัดควันฯลฯ ดังนั้นแนวทางแก้ไขปัญหานับจากนี้ นอกจากจะผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าสู่ระบบการดูแลสิ่งแวดล้อมและใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว รัฐบาลก็จะเข้ามาลงทุนในเรื่องการจัดตั้งแล็ปวิเคราะห์น้ำเสีย ควันพิษและดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ตามที่ชาวบ้านร้องขอ
“การลงทุนในมาบตาพุด ที่ผ่านมา มีปัญหาจนทำให้ประชาชนบางส่วนเดินหน้าร้องศาลปกครองกลางให้มีคำสั่งคุมครองให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม ก็ถือเป็นเรื่องที่จะต้องอุทธรณ์ตามภารกิจ โดยคำสั่งศาลปกครองจะไม่กระทบต่อผู้ประกอบการ ส่วนข้อเรียกร้อง 6 ข้อของชุมชนเป็นสิ่งที่ตกลงกันได้ ส่วนในเรื่องของการอุทธรณ์นั้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการของธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นการดำเนินการที่ไม่กระทำผิด หรือขัดแย้งต่อกฎหมาย ที่สำคัญ การระดมสมองช่วยชาติในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ จะยึดภาคเอกชนเป็นตัวตั้งเพราะเอกชนมีความกล้าในการลงทุน ดังนั้น หน่วยงานราชการก็มีหน้าที่ที่จะส่งเสริมและสนับสนุนและหากกฎหมายใดไม่เอื้อก็ต้องแก้” นายชาญชัย กล่าว
ผู้ประสานงานเครือข่าย ปชช.ตอ.จี้ รมว.อุตฯ อย่าป้องลูกน้อง
นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกกล่าวถึง การออกมาให้ข่าวของ รมว.อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกรณีมีคำสั่งให้เขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นเขตเขตควบคุมมลพิษว่า รมว.อุตสาหกรรม ควรจะยุติการให้ข่าวเนื่องจากกรณีดังกล่าวศาลปกครองได้มีคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16-17 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งการให้ข่าวของ รมว.อุตสาหกรรม เชื่อว่า เป็นการปกป้องลูกน้องและปกป้องการทำงานของตนเอง หลังจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ปล่อยปละละเลยการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จนสร้างปัญหาด้านมลพิษในปัจจุบัน
“ในความเป็นจริงสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ควรจะควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมให้อยู่ในมาตรฐาน ไม่ใช่การออกมาปกป้องการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่สำคัญการออกมาให้ข่าวเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดมติ ครม.ที่จะไม่ค้านคำสั่งศาลปกครองจังหวัดระยอง ” นายสุทธิ กล่าว
บีโอไอ ตอ.เชื่อวิกฤต ศก.ทำตัวเลขขอส่งเสริมปี 52 ลด 10-20%
นายเจษฏา ศรศึก ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 4 กล่าวถึงปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคตะวันออกในขณะนี้ว่าคือปัญหาความไม่เข้าใจระหว่างลูกจ้างและนายจ้างเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในยุควิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งการลดเวลาการทำงานของนักลงทุนต่างชาติไม่ใช่เป็นการยกเลิกการจ้างงานแต่เป็นเพียงการประคองธุรกิจให้อยู่รอดในภาวะที่คำสั่งซื้อสินค้าลดน้อยลง ขณะที่กลุ่มลูกจ้างบางส่วนก็ยังคงเรียกร้องสวัสดิการต่างๆ จึงจำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องสร้างควาเข้าใจกับผู้ประกอบการต่างชาติว่าเขาจะได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ อย่างไรก็ดีวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเลขคำขอส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกปี 2552 อย่างแน่นอน โดยคาดว่าตัวเลขขอส่งเสริมจะลดลงประมาณ 10-20%
“แม้แนวโน้มการขอส่งเสริมลงทุนจะลดลง แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าฐานผลิตขนาดใหญ่โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์จะไม่ย้ายจากไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน เพราะประเทศไทยมีข้อได้เปรียบด้านการขนส่งและภูมิประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ดังนั้นหากภาวะการเมืองของไทยนิ่งและเศรษฐกิจโลกฟื้นการขยายการลงทุนจะมีให้เห็นอย่างแน่นอน ” นายเจษฏา กล่าว