xs
xsm
sm
md
lg

ตามแผน"แดงทั้งแผ่นดิน"ตอกลิ่มประชาธิปัตย์-ป่วนนายกฯ ลงชลบุรี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุรพล  พงษ์ทัดศิริกุล  ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี
โดย ทัพหน้า

ศูนย์ข่าวศรีราชา - ตามแผนแดงทั่วแผ่นดิน กลุ่มเครือข่ายลิ่วล้อระบอบทักษิณใช้ยุทธการป่าล้อมเมือง ใช้ความรุนแรงเข้ายั่วยุฝ่ายรัฐฯ ชู"หน้าเหลี่ยม"เป็นพระเอกเป้าหมายนำตัวกลับไทย ทำลายเครดิตรัฐบาล ชลบุรีอยู่ในแผนป่วนทำลายชื่อเสียงนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หวังให้เป็นข่าวไปทั่วโลกทำลายเศรษฐกิจประเทศและเมืองท่องเที่ยวพัทยา ด้านพันธมิตรฯเสื้อเหลือง-คนชลบุรีรักบ้านเกิดไม่ขอเกี่ยวข้อง ใครอย่าได้อ้างชื่อเสื้อเหลืองจะไปตีกับเสื้อแดง ไม่ใช่ทั้งสิ้น

สถานการณ์ก่อนถึง 21 มีนาคม 2552 วันที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเป็นประธานพิธียกช่อฟ้าวัดนามะตูม อำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรีนั้น บรรยากาศทั่วไปในชลบุรียังร้อนระอุ เรื่องกลุ่มเสื้อแดงซึ่งนิยมความรุนแรง ยังเป็นหัวข้อพูดคุยกันกันสนั่นเมือง เพราะเป็นข่าวดังประเด็นร้อนๆ จากการเปิดเผยของ ส.ส.ประมวล เอมเปีย ส.ส.เขต 1 ว่า ..ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีไม่อยู่ หนีไปเมืองนอกขัดนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ข้าราชการฝ่ายปกครองซึ่งสังกัดกระทรวงมหาดไทยต่างก็ตกอยู่ในสภาพร้อนรน รอการกลับมาของนายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้กลับมาเป็นหลัก เตรียมการต้อนรับดูแลประสานกับตำรวจทหารเพื่อดูแลนายกรัฐมนตรี

ทำไมเสื้อแดงจึงเกิดขึ้นได้ในจังหวัดชลบุรีโดยเฉพาะที่พัทยา!?

เป็นคำถามที่คนเมืองชลบุรีต่างมีคำตอบอยู่ในใจ เพราะต่างรู้ดีว่าใครเป็นใคร เพียงแต่ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดวางเฉยนิ่งไปหน่อย ทำให้ดูเหมือนว่าไม่ใส่ใจปัญหานี้ตั้งแต่เหตุการณ์เริ่มต้น ครั้งเสื้อแดงออกมาถือป้ายประท้วงที่พัทยาและเขียนป้ายไปประท้วงเพื่อต้องการให้เป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อมีประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน หน้าโรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ท พัทยา ทำให้ชาวชลบุรีทั่วๆ ไปเกิดความอับอายขายหน้าเสียชื่อเสียง ภาพรวมของชลบุรีเกิดความเสียหายไปแล้ว

ดังนั้นการไปโรดโชว์การท่องเที่ยวยังต่างประเทศจึงไม่ได้ทำให้เมืองท่องเที่ยวดีขึ้นได้ หากไม่แก้ไขให้ตรงจุดตรงประเด็นปัญหา

ทำไมและทำไม มันมีอะไรอยู่ลึกๆ ยังงั้นหรือ !

หรือแม้กระทั่งการเข้าเมืองชลบุรีของนายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ ที่ร้านมงคลห่านพะโล้ครั้งก่อน ก็ปล่อยให้นายจักรภพ ทำอะไรได้ตามสะดวก ทั้งๆ ที่การชุมนุมวันนั้นมีการบอกเล่าถึงแผนแดงทั้งแผ่นดิน ด้วยว่าจะทำอะไรบ้างเพื่อป่วนสถาบันหลักของประเทศ และจะนำพาหน้าเหลี่ยมกลับประเทศไทย ด้วยการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้จงได้

อะไรคือแผนแดงทั้งแผ่นดิน..แผนการที่สอดประสานกับการโฟนอินของหน้าเหลี่ยมเพื่อป่วนชาติป่วนแผ่นดินเกิดโดยตัวคนหน้าเหลี่ยมปักหลักอยู่ต่างประเทศ พร้อมทีมบริษัทที่ปรึกษาฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัทต่างประเทศ ทั้งนั่งเครื่องบินมาประเทศเขมรซึ่งเป็นประเทศที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศไทยเป็นครั้งเป็นคราว ส่วนใหญ่จะใช้เกาะฮ่องกงประเทศจีนเป็นฐานที่มั่นเคลื่อนไหวป่วนประเทศไทยทำลายเศรษฐกิจความเชื่อมั่นของประชาชนทำลายความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ รวมไปถึงนักลงทุน ซึ่งประเด็นหลังนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปดีอยู่แล้ว

แต่ที่สังคมทั่วไปยังไม่ได้รับรู้ก็คือพื้นที่จังหวัดตราดนั้น เป็นพื้นที่ผลประโยชน์มหาศาลที่หน้าเหลี่ยมแสวงหาอยู่ โดยมีพลโทคนหนึ่งเป็นผู้ดูแล ทั้งกิจการบนเกาะช้างและตามแนวชายแดนตราด-เขมร เป็นหูเป็นตาอยู่

ข้าราชการไม่ว่าฝ่ายใดทั้งสีกากี ฝ่ายปกครอง ขณะรัฐบาลสมัคร-สมชาย มีอำนาจการจะโยกย้ายใครมาอยู่ที่ตราดนั้น ส่วนใหญ่ข้าราชการหลักๆ จะต้องผ่านกระบวนการสกรีนของคนระบอบหน้าเหลี่ยมก่อนจึงมาอยู่ได้ ข้อเท็จจริงอย่างนี้สังคมทั่วๆ ไปไม่เคยรู้มาก่อนว่า ผลประโยชน์ในเขมร-ตราด ตามน่านน้ำมีอยู่มากกว่าที่คิด รวมทั้งการจะลงทุนที่เกาะกงประเทศเขมร

ตามแผนแดงทั้งแผ่นดิน..มันก็คือการปลุกระดมพวกรากหญ้าคนยากคนจน คนว่างงานภาคอีสานรวมทั้งคนชนบทจากจังหวัดอื่นๆ ซึ่งเป็นเขตฐานเสียงพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชนเดิมให้ลุกขึ้นมาร่วมกันป่วน โดยมีท่อน้ำเลี้ยงจ่ายเงินค่าหัวต่อคนต่อผู้ที่ไปร่วมงานชุมนุมโดยมีการจัดรถบัส รถตู้ปรับอากาศให้ผู้ชุมนุมเดินทางไปยังเวทีชุมนุม

ตามแผนแดงทั้งแผ่นดิน จุดประสงค์หลักยกย่องเชิดชูคนหน้าเหลี่ยมเป็นสำคัญให้เป็นพระเอกนักบุญต่อสายตาประชาชนระดับคนยากคนจนตามชนบท ซึ่งขาดข้อมูลข่าวสาร ทั้งยกย่องหน้าเหลี่ยมให้เป็นพระเอกผู้เชี่ยวชาญเก่งกาจเรื่องเศรษฐกิจ ที่สำคัญมีนัยซ่อนเร้น ของกระบวนการกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งได้มีการพูดจาลามปามพาดพิงไปถึงสถาบันสูงสุดของประเทศอยู่เนืองๆ ทั้งต้องการรักษาฐานเสียงของพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชนเดิมเอาไว้
เพื่อรอเวลาเมื่อรัฐบาลนี้ทนแรงกดดันไม่ได้ ล้มลงและประกาศให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ วัตถุประสงค์ของแผนแดงทั้งแผ่นดินก็จะบรรลุในวัตถุประสงค์ 1 ในแผนการทั้งหมดที่วางไว้

ตามแผนแดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งแกนหลักกลุ่มเสื้อแดง กทม.กระทำอยู่คือร่วมมือกับ ส.ส.ป่วนทั้งในสภาและ ส.ส. อดีต ส.ส.ซึ่งเป็นแกนนำหลักเคลื่อนไหวให้มีการชุมนุม โดยมีเม็ดเงินที่ไม่อาจจะประเมินได้ เป็นค่าใช้จ่ายต่อครั้ง ต่อการไปจัดชุมนุมตามต่างจังหวัด ทั้งมีการโฟนอินจากที่พำนักไม่ทราบประเทศของหน้าเหลี่ยมเข้ามายังเวทีชุมนุม ซึ่งหน้าเหลี่ยม กล่าวพาดพิงโจมตีรัฐบาล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันต่างๆ อยู่เป็นประจำ

ขณะที่โฟนอินมายังเวทีชุมนุมโดยลำดับ เรียกได้ว่า หน้าเหลี่ยมส่งสัญญาณสู้เฮือกสุดท้าย เป็นตายก็ไม่ว่ากัน หมดเท่าไหร่ก็ไม่ว่า นี่..คือสัญญาณที่ส่งมา..ก่อนจะเกิดมรสุมลูกใหญ่ประมาณเดือนเมษายนนี้..แต่หากรัฐบาลรู้ทันและไม่ประมาท...ทุกอย่างก็ป้องกันได้

ทางด้านภาคตะวันออกนั้นจริงๆ แล้ว กลุ่มเสื้อแดงทางด้านนี้มีอยู่ไม่มาก ยกเว้นจังหวัดจันทบุรีจังหวัดเดียวที่มีกลุ่มเสื้อแดงอยู่พอประมาณ เนื่องจากเป็นเขตคะแนนเสียงเดิมของพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน

สำหรับจังหวัดชลบุรีนั้น มีเสื้อแดงเป็นคนชลบุรีโดยกำเนิดไม่ถึง 30 คน บางคนเป็นผู้สมัคร ส.ส.สอบตก นอกนั้นเป็นคนมาจากภาคอีสาน มาทำมาหากินอยู่ชลบุรี ส่วนที่เมืองพัทยาก็เป็นคนจังหวัดภาคอีสานและหลากหลายจังหวัดมาทำมาหากิน บางคนเป็นญาติ ส.ส.รับแผนการป่วนรัฐบาลดิสเครดิตรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาจากกลุ่มแกนหลักเสื้อแดงอีสาน

ส่วนที่จะมีการนำกำลังเสื้อแดงหลักๆ จากจันทบุรี จากกลุ่มเสื้อแดงฉะเชิงเทรา จากระยอง ตามคำให้สัมภาษณ์ของ ส.ส.ประมวล เอมเปีย ว่าจะมีถึง 1,000 คนมาป่วนนายกรัฐมนตรี แต่จากการตรวจสอบข่าวพบว่า กำลังเสื้อแดงหลักๆ มาจากจันทบุรี โดย มี นาย ส.คนจันทบุรีมาหากินอยู่เมืองพัทยา เป็นผู้รับงานจัดรถไปรับเสื้อแดงที่จันทบุรี ส่วนที่ระยองนั้นไม่มี

นอกจากนั้นก็จะมีเสื้อแดงที่มาจากตราดที่มีข้าราชการหลักๆ แอบหนุนเนื่องอยู่กับนักการเมืองพื้นที่ซึ่งทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจะพ่ายแพ้ต่อคนพรรคประชาธิปัตย์ตลอด ส่งมาร่วมสมทบ ส่วนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะมาจากฉะเชิงเทรา ซึ่งกลายเป็นคนของนักการเมืองคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการแอบจิตคิดร้ายต่อนายกรัฐมนตรีถึงเพียงนี้ และร่วมส่งผู้คนมาเป็นเสื้อแดงร่วมจองกฐินร่วมป่วน ที่วัดนามะตูม

ส่วนเสื้อแดงอยู่รอบๆ อำเภอศรีราชานั้นมาจาก"นายควร-ตึกคอม" ทาสหน้าเหลี่ยม ส่งเสบียงให้การสนับสนุนอยู่ ส่วนที่ตัวเมืองชล ก็มาจากวินรถจักรยานยนต์วินหนึ่ง เป็นวินอยู่หลังป้อมยามตำรวจสี่แยกไฟแดงตัวเมือง ซึ่ง "นาย ศ.เสื้อแดง"ใช้รวมพลไปป่วนที่กรุงเทพฯ มาแล้ว แต่จะรวมตัวไปที่พนัสนิคมหรือไม่ ตำรวจสถานีตำรวจเมืองชลบุรีระดับ พ.ต.อ.คงทราบดี แต่จะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบหรือไม่ ไม่ทราบ

เรื่องกลุ่มเสื้อแดงที่เหิมเกริมจากจังหวัดอื่นๆ กับพฤติกรรมจะมาป่วนงานบุญของชาวพนัสนิคมชลบุรี ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ชลบุรี ที่ได้รับการเลือกตั้งมาแบบยกจังหวัด 8 คน 1 ส.ส.สัดส่วน ถูกประชาชนเขตพื้นที่เลือกตั้ง ตั้งคำถามถึงอย่างมาก ว่าปล่อยให้เรื่องอย่างนี้ เกิดขึ้นถึงขั้นนี้ได้อย่างไร หาก ส.ส.รวมพลังกัน

เพราะข้อมูลเดิม ส.ส.ทุกคนก็รู้ว่า การที่นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นคนเมืองชล เกิดที่ตำบลบางทราย ก่อนจะถูก พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยย้ายไปอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ ด้วยเป้าหมายต้องการทำลายฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตรฯ เมืองชลควบรวมกันไปในคราวเดียวกัน ชลบุรีขณะนั้นไม่มีกลุ่มเสื้อแดง

ที่สำคัญ ...ก่อนจะเกิดแผนแดงทั้งแผ่นดิน ป่วนชาติ ป่วนรัฐบาลนั้น มีลางบอกเหตุมาล่วงหน้า ตั้งแต่เคเบิลทีวีในพื้นหลายจังหวัดหรือตามต่างจังหวัดถูกบีบให้เปิดสัญญาณช่อง"ดี-สเตชั่น"ช่องเสื้อแดงมาก่อนหน้า เมื่อทุกอย่างพร้อมแกนนำเสื้อแดงจึงออกไปจัดชุมนุมตามต่างจังหวัด ใช้ยุทธการป่าล้อมเมืองตามแผนแดงทั้งแผ่นดินโดยทันที

ตามแผนแดงทั้งแผ่นดิน ต้องการนำหน้าเหลี่ยมกลับไทย ต้องการให้มีการแก้กฎหมายให้พ้นโทษจำคุก และให้ได้อภัยโทษจึงป่วนรัฐบาลไม่ให้ทำงานได้สะดวก ต้องการล้มรัฐบาลเป็นสำคัญเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นเป้าหมายรวมอยู่ในแผนแดงทั้งแผ่นดินด้วย

ในระหว่างป่วนรัฐบาลกลุ่มเสื้อแดงฉวยโอกาสตอกลิ่มพรรคประชาธิปัตย์ให้แตกกับแนวร่วมประชาชนที่ลงคะแนนเสียงส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แบบยกทีมที่ชลบุรี และผู้รักชาติ หรือจังหวัดอื่นๆ เช่นจันทบุรีหรืออาจจะเป็นระยองเป็นจังหวัดต่อไป สถานะปัจจุบัน คนของหน้าเหลี่ยมกับเครือข่าย จ้องหาจังหวะเป็นข่าว ทำร้ายทำลายภาพลักษณ์จังหวัดชลบุรี ทำลายภาพรวมของเมืองท่องเที่ยวพัทยาชื่อก้องโลกและภาพลักษณ์ประเทศไทยเป็นสำคัญ ให้ซบเซาสมใจให้ได้ ให้รัฐบาลทำงานแบบยากลำบากมากขึ้น ทั้งทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวพัทยาอีกต่อไป

และหากว่ากลุ่มเสื้อแดงซึ่งไม่ใช่คนชลบุรี แต่เป็นคนที่มาจากจังหวัดอื่นๆ มีกิจกรรมป่วนเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะการประชุมอาเซียนบวกสามบวกหก ที่จะมีขึ้นวันที่ 10-12 เดือนเมษายนนี้

“นโยบายของรัฐบาลไม่ให้ข้าราชการเดินทางไปต่างประเทศ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เดินทางไปเยอรมนีตามโครงการขององค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง”

นี่เป็นคำกล่าวของนายประมวล เอมเปีย ส.ส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเปิดข่าวดังประเด็นร้อน เผยความจริงให้ประชาชนชลบุรีได้ทราบ

“ขอร้องให้คนชลบุรีช่วยกันตรวจสอบคนพื้นที่อื่นๆ ที่จะมาก่อความไม่สงบ ทุกคนต้องช่วยกันเพราะชลบุรีเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำของคนทั้งประเทศไทย อย่าปล่อยให้คนจากจังหวัดอื่นๆ มาสร้างความเสียหายให้กับชลบุรี ทางตำรวจจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดกับทุกฝ่าย ตำรวจติดตามสถานการณ์มาเป็นขั้นเป็นตอนรู้ว่าใครเป็นใครและหาทางป้องกันไว้อย่างเป็นระบบแล้ว”

นี่เป็นคำกล่าวของ พล.ต.ต.บัณฑิต คุณจักร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจได้ขั้นหนึ่ง.

“การไปชลบุรีของนายกรัฐมนตรีไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ...ส่วนที่ผู้ว่าราชการชลบุรีไม่อยู่ในพื้นที่ในช่วงนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดูแลอยู่...” นี่เป็นคำกล่าวของนายทิตย์ วงค์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อ 12 มีนาคม

ทางด้านพันธมิตฯ จังหวัดชลบุรี และไม่ใช่พันธมิตรฯ แต่เป็นผู้รักชาติที่พร้อมจะออกมาปกป้องแผ่นดินเกิดหลายบุคคล ที่ขอสัมภาษณ์ความเห็น(ขอสงวนชื่อ) ได้ให้ความเห็นในฐานะเป็นคนเมืองชลบุรีโดยกำเนิดว่า... "ก็รู้สึกน้อยใจนายกฯ อภิสิทธิ์ อยู่บ้างที่ทำงานไม่เด็ดขาด ปล่อยตำรวจที่ฆ่าประชาชน 7 ตุลาคมให้อยู่ลอยนวล"

การมาพนัสนิคมครั้งนี้อยากจะไปช่วยดูแลไม่ให้พวกเสื้อแดงมาก่อความวุ่นวายกับนายกฯ อภิสิทธิ์ แต่มาคิดดูแล้ว อยู่นิ่งๆ จะดีกว่า เพราะทางฝ่ายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์คงไม่อยากจะให้ไปช่วยเหลือ ก็ให้เขาว่ากันไปกับพวกเสื้อแดงที่นิยมความรุนแรงก็แล้วกัน

สำหรับผู้รักชาติ พันธมิตรฯ อีกหลายคน ขณะนี้ยังนิ่งสงบรอฟังข่าวอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ใจของทุกคนพร้อมช่วย หลายคนเห็นใจนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นอย่างมาก แต่บนสถานการณ์อย่างนี้ ขณะที่รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตยก็บอกว่า “ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ส่วนที่ผู้ว่าราชการไม่อยู่ในพื้นที่ช่วงนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะมีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลอยู่แล้ว”

"ก็ต้องปล่อยให้เขาว่ากันไปก็เท่านั้น" ผู้รักชาติคนชลบุรีโดยกำเนิดท่านนี้กล่าว

ส่วนผู้รักชาติและพันธมิตรฯ อีกจำนวนหนึ่งกล่าวว่า “พวกเราเป็นคนชลบุรีโดยกำเนิด หากมีการประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยาเดือนเมษายน พวกเราคนชลฯ อาจจะต้องรวมพลังกัน โดยไม่ปล่อยให้พวกเสื้อแดงซึ่งเป็นคนจังหวัดอื่น มาป่วนพัทยา ทำลายภาพลักษณ์ และภาพรวมทั่วไปของเมืองพัทยาเมืองท่องเที่ยวก้องโลก ได้อีกต่อไป

" เพราะนี่...เป็นเรื่องของส่วนรวมจริงๆ ไม่งั้นเศรษฐกิจพัทยาชลบุรีจะซบเซาเหมือนเช่นเชียงใหม่ และเศรษฐกิจทั่วไปก็จะไม่ดีขึ้น พวกเราอาจจะทำตามแบบอย่างที่ดีของคนราชบุรี เพชรบุรี คนประจวบฯ ซึ่งลุกขึ้นมาปกป้องพื้นที่ท่องเที่ยวแหล่งเศรษฐกิจสำคัญจังหวัดของเขา ซึ่งรัฐบาลนี้ใช้เป็นเวทีการประชุมอาเซียนที่ชะอำผ่านไปด้วยดี"

ส่วนงานพิธียกช่อฟ้าวัดนามะตูม 21 มีนาคมนี้ เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 2 ซึ่ง พล.ต.ท. อัศวิน ณรงค์พันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจภาค 2 พร้อม พล.ต.ต.บัณฑิต คุณจักร ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดชลบุรี ได้ลงพื้นที่ไปตรวจดูสถานที่วัดนามะตูม ร่วมกับ ส.ส.ประมวล เอมเปีย ซึ่งฝ่ายตำรวจมั่นใจคุมสถานการณ์ได้

ดังนั้นบรรดาพันธมิตรฯ และผู้รักชาติ ไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้อง ตามที่มีการกล่าวหาขยายความกันว่า เสื้อแดงจะตีกับเสื้อเหลืองนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มีแต่เสื้อแดงจะตีกับคนของรัฐบาลละไม่ว่า หรืออย่างที่กลุ่มเสื้อแดงกล้าปาระเบิดปิงปองใส่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีมาแล้ว

ทำไมเสื้อแดงจึงกล้าทำอะไรให้เกิดขึ้น และสิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงทำแต่ละเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่ร้ายๆ ทั้งสิ้น.!?

สำหรับ ส.ส.ประมวล เอมเปีย ผู้เปิดข่าวดังประเด็นร้อน กรณีผู้ว่าราชการจังหวัดขัดนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ห้ามข้าราชการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ขณะนี้ถือว่าได้รับแรงสะท้อนกระแทกกระทั้นกลับคืนมาบ้างแล้ว

“.. การที่นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ชลบุรีวันที่ 21 มีนาคมนี้และผู้ว่าราชการจังหวัด กลับเดินทางไปประเทศเยอรมนี โดยไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันความรุนแรงจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงถือว่าเส้นใหญ่จึงไม่อยู่ในพื้นที่... เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วง แต่หาก ส.ส.พื้นที่เห็นว่ามีความจำเป็นจริงๆ ก็โทรเรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปดูแลนายกรัฐมนตรีก็ได้..”

นี่..คือคำให้สัมภาษณ์ของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยต่อข่าวดังประเด็นร้อน ต่อสื่อมวลชน เป็นข่าวทั่วไป

นี่..คือสิ่งที่ ส.ส.ประมวล เอมเปีย ได้รับ กรณีข่าวกลุ่มเสื้อแดงที่จะมาป่วนนายกรัฐมนตรีซึ่งทำให้ประชาชนชาวชลบุรีพื้นที่เลือกตั้งที่ลงคะแนนเสียงให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เห็นอกเห็นใจ ส.ส.ของเขา ต่างเฝ้าจับตารอดูว่าระหว่าง ส.ส.ประมวลกับ นักปกครองเส้นดี ใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือใครจะเป็นฝ่ายผิด ใครจะเป็นคนที่มี“วอเตอร์แมดิซิน”มากกว่ากันหรือสุดท้ายแล้วเมื่อข่าวจางลงไป ก็อาจมีการเกี้ยเซียะกันเกิดขึ้นก็เป็นได้

ส่วนนโยบายของนายกรัฐมนตรีนั้น ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไปและทำอะไรไม่ได้เพราะไม่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ให้เห็น

แต่...สำหรับคนที่เป็นคอการเมืองแฟนพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยิ่งได้ฟังคำปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรีพรรคประชาธิปัตย์ ที่เวทีหน้าศาลากลางจังหวัด ก่อนการจะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 1 วัน และนำมาสู่การลงคะแนนแบบยกทีม ยังจำวาทะวาจาประโยคหนึ่งของผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่งที่กล่าวเน้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า

“หากได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.กลุ่มชลบุรี ไม่ใช่จะต้องไปตามใจพรรคไปเสียทุกเรื่องทุกอย่าง แต่จะต้องฟังเสียงประชาชนชลบุรีเป็นหลักและเป็นตัวของตัวเอง...” นี่.. จึงเป็นการประลองกำลังระหว่าง ส.ส.ชลบุรีกับฝ่ายนักปกครองเส้นดี มีนายอยู่คนละพรรคกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงกล้าฝืนนโยบายนายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ ว่าจะจบกันแบบไหน

นี่เป็นเรื่องข่าวดังประเด็นร้อนๆ ที่มีประชาชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้ออึงทั่วเมืองชล! ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวเดือนมีนาคม เป็นเพราะชลบุรีไม่มีข่าว ส.ส.ปะทะกับผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างนี้มานานแสนนาน นี่..เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้น

ที่สุดตาม “แผนแดงทั้งแผ่นดิน!" ของคนหน้าเหลี่ยมกับสมุนบริวารนั้น จากการสัมภาษณ์บุคคล แสวงหาข่าวจากแหล่งข่าวหลายแหล่ง สนทนากับพันธมิตรฯ หลายคน สนทนากับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบางฝ่าย รวมทั้งผู้รักชาติ ข้าราชการของหลวง ซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง แต่พร้อมออกมาปกป้องประเทศชาติ สถาบันร่วมกัน หรือแม้กระทั่งคนที่ถูกชักจูงให้เข้าร่วมกระบวนการเสื้อแดง ที่มีจุดยืนที่แตกต่างกัน บางคนเพียงไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะอาจเกิดหมั่นไส้หรืออย่างไรก็ตาม แต่ทำให้ได้ทราบวัตถุประสงค์ของแกนนำเสื้อแดงหลักๆ ว่าคิดอย่างไรและจะทำอะไรต่อไปบางประการ

จึงวิเคราะห์สรุปได้ว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ยังหลงทาง โดยคนของพรรคบางคนมองผู้รักชาติและบรรดาพันธมิตรประชาชนฯ เป็นศัตรูเหมือนกลุ่มเสื้อแดงซึ่งเป็นคนละพวกคนละชั้นกัน จุดยืนอุดมการณ์ซึ่งเทียบกันไม่ได้แล้วละก็ เดือนเมษายนนี้ จะเห็นอะไรที่เป็น “ภาพจริงๆ” ที่จะเกิดมากกว่า เป็นมากกว่า ภาพเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดประจำวัน ที่เห็นกันปัจจุบัน เพราะเรื่องต่างๆ ล้วนมีที่มาที่ไป จากคนการเมืองทั้งสอบตก ทั้งเป็น ส.ส.ปัจจุบัน หลากหลายพรรคการเมือง ทั้งการช่วงชิงประชาชนฐานคะแนนเสียงพื้นที่เลือกตั้งเป็นสำคัญควบรวมอยู่ด้วย

ที่สำคัญท่อน้ำเลี้ยง... สำหรับการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของคนหน้าเหลี่ยม ในยุทธการสู้หนีตายครั้งนี้ น่าจะมีเม็ดเงินแบบไม่อั้น ดังนั้นอะไรก็จะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น..!

เดือนเมษายนนี้ หากรัฐบาลน้ำดีพรรคประชาธิปัตย์ประมาท สงครามประชาชนที่ต้องใช้ประชาชนเท่านั้น อาจเกิดขึ้นได้และอาจจะได้เห็นกัน จนอาจกล่าวได้ว่า กว่าจะรู้สึกก็สายไปเสียแล้ว....

ขอภาวนาว่า อย่าให้คำคาดการณ์ของรายงานพิเศษชิ้นนี้ เกิดขึ้นจริง เพราะคงมีไม่คนไทยคนไหนอยากจะเห็นสงครามประชาชน...เกิดขึ้น.!
นายประมวล  เอมเปีย  ส.ส จังหวัดชลบุรี
กำลังโหลดความคิดเห็น