ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- เวทีใหญ่ “สร้างสรรค์ปีใหม่ 2552 บทเรียนเลือด หลอมรวมร่วมศรัทธา จักฟันฝ่าสานฝันอย่างมั่นคง” ของพันธมิตรฯ โคราชภาคดึกยิ่งคึกคักเหล่านักรบมือตบออกลีลาสนุกสุดเหวี่ยงร่วมกันปล่อยลูกโป่ง ประกาศเป็นปีแห่งการเมืองภาคประชาชน ขับเคลื่อนขบวนการ “ประชาภิวัฒน์” เดินหน้า “การเมืองใหม่” อย่างเต็มรูปแบบ ด้านแกนนำเสนอแนวคิดตั้งพรรคการเมืองพันธมิตรฯ ย้ำจับตารัฐบาล “ปชป.สายพันธุ์ยี้ห้อย” ใกล้ชิด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ “สร้างสรรค์ปีใหม่ 2552 บทเรียนเลือด หลอมรวมร่วมศรัทธา จักฟันฝ่า สานฝันอย่างมั่นคง” ของเครือข่ายพันธมิตรฯ จ.นครราชสีมาและภาคอีสานที่บริเวณลานข้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ถ.ชุมพล อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อคืนที่ผ่านมา (28 ธ.ค.) ว่า ในช่วงดึกบรรยากาศยิ่งคึกคัก บรรดาแกนนำคนสำคัญและศิลปินกู้ชาติวงใหญ่ชื่อดังที่ผู้ชุมนุมรอคอยต่างผลัดเปลี่ยนขึ้นเวทีกันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางชาวพันธมิตรฯ เดินทางเข้าร่วมเพิ่มเป็นจำนวนหลายพันคน ซึ่งได้พากันลุกขึ้นเต้นรำออกลีลาตามจังหวะเสียงเพลงกู้ชาติกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง
เวลาประมาณ 20.30 น. นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากการเดินสายพบเครือข่ายพันธมิตรฯ อเมริกา ได้ขึ้นนำผู้ชุมนุมร่วมกันจุดเทียนแห่งธรรมเพื่อฉลองชัยชนะของประชาชนที่ร่วมชุมนุมต่อสู้ขับไล่ทรราชกันมายานนานกว่า 6 เดือน และกล่าวปราศรัย
จากนั้นนายพิภพ ธงไชย 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 1 ขึ้นเวทีปราศรัยตามด้วย ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด โดยแกนนำได้ประกาศประมูลภาพของพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เพื่อหาเงินสมทบช่วยเหลือสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียว ASTV และ พันธมิตรฯ ที่เจ็บป่วย
ก่อนที่จะพักรายการเติมเต็มปัญญาด้วยนตรีและเสียงเพลงจากศิลปินกู้ชาติ วงสะเก็ดระเบิด, หรั่ง ร็อคเคสตร้า, แหลม ผู้จัดกวน, นายยุทธยง ลิ้มเลิศวาที ผู้จัดรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (ASTV), กำปั่น บ้านแท่น ศิลปินเพลงโคราช และประทีป ขจัดพาล
ต่อจากนั้นเป็นการแสดงวงดนตรีของวงซูซู ที่เหล่าบรรดาแม่ยกพันธมิตรฯ และ นักรบมือตบรอคอยมาตลอดทั้งคืนนำโดย น้าซู, เศก ศักดิ์สิทธิ์ สลับกับการจับสลากมอบรางวัลของขวัญปีใหม่จากบรรดาแกนนำที่เดินทางมาร่วมปราศรัย เช่น สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, พิภพ ธงไชย, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี มอบให้แก่ผู้มาร่วมชุมนุม
พร้อมร่วมกันปล่อยโคมไฟเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 9 โคม และปล่อยป้ายผ้า “2552 ปีแห่งการเมืองภาคประชาชน” ขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อแสดงความจงรักภักดี และประกาศให้ปีหน้า เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนของขบวนการประชาภิวัฒน์และการเมืองใหม่เต็มรูปแบบ
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวปราศรัยบนเวที ระบุว่าพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ถือดาวกันคนละดวง มาวันนี้ถึงเวลาแล้วที่พันธมิตรฯ ต้องสร้างพรรคการเมืองให้เป็นของตัวเองขึ้นมา เพื่อมาเป็นรัฐบาลสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้น เพราะจะไปคาดหวังกับพรรคการเมืองเก่าที่มีอยู่นั้น เชื่อได้ว่าการเมืองใหม่ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
พวกเราต่อสู้กันมาด้วยความยากลำบาก แต่มาถึงตอนนี้เหมือนตีงูให้กากิน ฉะนั้น ควรถึงเวลาที่พันธมิตรฯ ต้องคิดแล้วว่า เราต้องมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง หากไม่มีใครเป็นนายกฯ ตัวเองจะเป็นนายกฯ ให้ดู เพราะถ้าเราไม่ต้องการอำนาจเราก็ไม่ต้องต่อสู้ให้เหนื่อย
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ภาคประชาชนยังต้องดำเนินต่อไป แต่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นต้องจัดระบบให้ดี จัดองค์กรให้ดีเพื่อให้การต่อสู้เป็นไปอย่างยั่นยืนและเข้มแข็ง เช่น ในต่างประเทศมีการจัดตั้งคณะกรรมการองค์กรภาคประชาชนขึ้นอย่างชัดเจนในทุกมลรัฐ หากมีการส่งสัญญาณการต่อสู้ภาคประชาชนเกิดขึ้น คณะกรรมการชุดนี้จะออกมาปฏิบัติภารกิจทันที
“ภารกิจข้างหน้าแม้จะใหญ่หลวงแต่เชื่อว่าพลังประชาชนจะยังเข้มแข็ง ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นายไชยวัฒน์ กล่าว
ด้าน นายพิภพ ธงไชย กล่าวปราศรัยว่า พันธมิตรฯ ยังคงเดินทางหน้าผลักดันสร้างการเมืองใหม่ โดยเฉพาะปีหน้า 2552 การเมืองใหม่จะต้องเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ นั้นจะต้องเป็นการเมืองที่สะอาด ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และเร่งสร้างจริยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องเร่งดำเนินการ
“วันนี้พวกเราจะต้องให้โอกาสรัฐบาลชุดนี้ได้ทำในเรื่องที่ถูกต้อง แต่หากรัฐบาลยังนิ่งเฉยไม่ทำ จะพบกับพวกเราอีกครั้ง การต่อสู้ภาคประชาชนจะกลับมาแน่นอน” นายพิภพ กล่าว
ขณะที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้เวทีขึ้นปราศรัยปิดเวทีรอบดึกคนสุดท้ายในเวลาประมาณ 00.30 น. ของวันที่ 29 ธ.ค. โดยเน้นการฉายภาพเส้นทางการโกงชาติกินเมืองและความเลวร้ายของระบอบทักษิณ ตั้งแต่เริ่มแรกกับการเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งมอมเมาประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม ที่เทงบประมาณจำนวนมหาศาลลงไปยังระดับรากหญ้า และดึงเม็ดเงินเหล่านั้นหมุนเวียนเข้ามาสู่กระเป๋าของตัวเองและพวกพ้อง
ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย 30 บาทตายทุกโรค, กองทุนหมู่บ้านละล้าน, หวยบนดิน 3 ตัว 2 ตัว เป็นต้น ทำให้ทักษิณ ร่ำรวยมีเงินหลายแสนล้านทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยจนเกิดปรากฎการณ์การออกมาต่อสู้ของเครือข่ายพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ เพื่อขับไล่และจัดการกับทรราชโกงชาติ กินเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและผลักดันให้มีการเมืองใหม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเมืองใหม่ที่ได้ในวันนี้ จากชัยชนะเบื้องต้นของภาคประชาชนจากการร่วมกันต่อสู้อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งประวัติศาสตร์ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 10 คน บาดเจ็บและพิการกว่า 600 คน คือรัฐบาลประชาธิปัตย์ผสมพันธุ์กับ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองยี้ที่สุดในประเทศนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงการเมืองเก่าของแท้ ไม่ใช่การเมืองใหม่อย่างที่ประชาชนพันธมิตรฯ วาดหวัง
“ดังนั้น การเมืองภาคประชาชนและขบวนการประชาภิวัฒน์ ต้องเดินหน้าต่อไปไม่สามารถที่จะหยุดได้ ที่สำคัญต้องจับตาการทำงานของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิดตามที่พวกเราได้ประกาศที่จะให้โอกาสกับพวกเขาไปแล้วตั้งแต่ต้น” นายสมเกียรติ กล่าวในตอนท้าย