เชียงใหม่ - “โอฬาร” ชี้วิกฤติเศรษฐกิจโลกไม่กระทบไทยมากนัก มั่นใจ 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือได้พร้อมเร่งอัดฉีดเงินกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เข้าระบบเศรษฐกิจคาดปี 2552 เห็นผลชัดเจน ย้ำรัฐบาลมีสติปัญญารับมือ-แก้ปัญหาได้
นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "เจาะลึก 6 มาตรการเศรษฐกิจ รับมือวิกฤตการเงินโลก" ในงาน Money Expo chiangmai 2008 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่า นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อทวีปยุโรปและเอเชียนั้นในส่วนของประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ในส่วนของรัฐบาลได้ออก 6 มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจของไทยตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา เช่น มาตรการกระตุ้นการลงทุนโดยลดหย่อนภาษีเงินได้จากยอดเงิน 500,000 บาทเป็น 700,000 บาท เพื่อจูงใจให้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามปกติ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกและหมุนการค้าของสินค้าในประเทศอย่างพอเพียงให้แก่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่มากขึ้น โดยความร่วมมือของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งตั้งเป้าการขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรือ 400,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังผลักดันให้มีการร่วมมือกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขยายตลาดการส่งออกสินค้า รวมทั้งประเทศในแถบตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา ที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ อัญมณี เครื่องประดับ สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า เครื่องหนัง และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ในส่วนการกระตุ้นการใช้จ่ายในครัวเรือนของประชาชนในประเทศ จะเพิ่มสินเชื่อในโครงการเอสเอ็มแอลและกองทุนหมู่บ้าน อีก 10,000 ล้านบาท รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เป็น 180,000 ล้านบาท และเร่งเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่หรือเมกกะโปรเจ็ค ในปี 2552 โดยจะเพิ่มงบประมาณการลงทุนจากเดิม 250,000 ล้านบาท เป็น 350,000 ล้านบาท
นายโอฬาร กล่าวต่ออีกว่า การดำเนินงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้เดินหน้ามาประมาณ 50% แล้วเชื่อว่าการดำเนินงานทั้งหมดครบทั้ง 6 มาตรการที่ได้ประกาศไว้จะเห็นผลอย่างจริงจังในปี 2552 รวมวงเงินที่รัฐจะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้นประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมการรวมตัวของประชาคมการเงินเอเชีย ซึ่งจะมีการประชุมในช่วงเดือนธันวาคมนี้
โดยนโยบายทั้งหมดเชื่อว่าจะป้องกันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจของโลก ได้เนื่องจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าปี 2540 เนื่องจากในขณะนั้นประเทศไทยไม่ได้เตรียมตัวรับมือให้ดี โดยเฉพาะประมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่ปัจจุบันมีกว่า 100,000 ล้านบาท
“รัฐบาลมีสติปัญญาเพียงพอ ในการจัดการกับวิกฤติการณ์ครั้งนี้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับปี 2540 แต่ถามว่าได้รับผลกระทบไหมก็ตอบว่าได้รับผลกระทบบ้าง แต่คงไม่มากนัก ซึ่งเป็นการคาดการณ์ก่อนเข้ารับตำแหน่งแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วอย่างนี้ ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะป้องกันเศรษฐกิจไทยได้ ถึงแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวและส่งออกได้รับผลกระทบ แต่ก็มีการชดเชยในส่วนอื่นเข้ามาแทน” นายโอฬาร กล่าว
นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "เจาะลึก 6 มาตรการเศรษฐกิจ รับมือวิกฤตการเงินโลก" ในงาน Money Expo chiangmai 2008 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่า นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อทวีปยุโรปและเอเชียนั้นในส่วนของประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ในส่วนของรัฐบาลได้ออก 6 มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจของไทยตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา เช่น มาตรการกระตุ้นการลงทุนโดยลดหย่อนภาษีเงินได้จากยอดเงิน 500,000 บาทเป็น 700,000 บาท เพื่อจูงใจให้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามปกติ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกและหมุนการค้าของสินค้าในประเทศอย่างพอเพียงให้แก่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่มากขึ้น โดยความร่วมมือของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งตั้งเป้าการขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรือ 400,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังผลักดันให้มีการร่วมมือกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขยายตลาดการส่งออกสินค้า รวมทั้งประเทศในแถบตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา ที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ อัญมณี เครื่องประดับ สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า เครื่องหนัง และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ในส่วนการกระตุ้นการใช้จ่ายในครัวเรือนของประชาชนในประเทศ จะเพิ่มสินเชื่อในโครงการเอสเอ็มแอลและกองทุนหมู่บ้าน อีก 10,000 ล้านบาท รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เป็น 180,000 ล้านบาท และเร่งเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่หรือเมกกะโปรเจ็ค ในปี 2552 โดยจะเพิ่มงบประมาณการลงทุนจากเดิม 250,000 ล้านบาท เป็น 350,000 ล้านบาท
นายโอฬาร กล่าวต่ออีกว่า การดำเนินงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้เดินหน้ามาประมาณ 50% แล้วเชื่อว่าการดำเนินงานทั้งหมดครบทั้ง 6 มาตรการที่ได้ประกาศไว้จะเห็นผลอย่างจริงจังในปี 2552 รวมวงเงินที่รัฐจะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้นประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมการรวมตัวของประชาคมการเงินเอเชีย ซึ่งจะมีการประชุมในช่วงเดือนธันวาคมนี้
โดยนโยบายทั้งหมดเชื่อว่าจะป้องกันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจของโลก ได้เนื่องจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าปี 2540 เนื่องจากในขณะนั้นประเทศไทยไม่ได้เตรียมตัวรับมือให้ดี โดยเฉพาะประมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่ปัจจุบันมีกว่า 100,000 ล้านบาท
“รัฐบาลมีสติปัญญาเพียงพอ ในการจัดการกับวิกฤติการณ์ครั้งนี้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับปี 2540 แต่ถามว่าได้รับผลกระทบไหมก็ตอบว่าได้รับผลกระทบบ้าง แต่คงไม่มากนัก ซึ่งเป็นการคาดการณ์ก่อนเข้ารับตำแหน่งแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วอย่างนี้ ซึ่งมาตรการทั้งหมดจะป้องกันเศรษฐกิจไทยได้ ถึงแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวและส่งออกได้รับผลกระทบ แต่ก็มีการชดเชยในส่วนอื่นเข้ามาแทน” นายโอฬาร กล่าว
