สุรินทร์ - เมืองช้างกำหนดจัดงาน “สืบสานตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิ” 21-22 พ.ย.นี้ เผย ชมขบวนแห่วัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นโบราณ-การแสดงประกอบ แสง สี เสียง ตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิสุดยิ่งใหญ่อลังการ
วันนี้ (9 พ.ย.) นายวิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลระแงง ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุรินทร์, อำเภอศีขรภูมิ, จังหวัดสุรินทร์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนดจัดงาน “สืบสานตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิ” ณ องค์ปราสาทศีขรภูมิ ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ในวันที่ 21-22 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการจัดงานช้างและกาชาดจังหวัดสุรินทร์ประจำปี 2551
โดยภายในงานมีการจัดกิจกรรมต่างๆ จำนวนมาก เช่น การจัดขบวนแห่วัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นโบราณ ทั้ง เขมร ลาว กูย จีน, พิธีบวงสรวงองค์ปราสาทศีขรภูมิ, การแสดงแฟชั่นโชว์ผ้าไหม เอกลักษณ์สุรินทร์ ชุด “สายใยไหมพลังแห่งน้ำ”, การแสดง “เรือศีขรภูมิ” อันวิจิตรตระการตา พร้อมชมการแสดงนิทรรศการวิถีชีวิตดั้งเดิม เขมร ลาว กูย และเลือกซื้อสินค้า ของดีศีขรภูมิ
นอกจากนี้ ยังมีการแสดงประกอบ แสง สี เสียง สืบสาน ตำนานพันปีปราสาทศีขรภูมิอย่างยิ่งใหญ่ โดยจำลองการแสดงจากภาพทับหลังซึ่งเป็นรูปพระศิวะกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางเทวดาและนางฟ้า
ทั้งนี้ “ปราสาทศีขรภูมิ” เดิมชื่อว่า “ปราสาทระแงง” ตั้งอยู่ที่ บ.ปราสาท ต.ระแงง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ โดยมีชื่อเรียกตามตำบลที่ตั้ง ซึ่งต่อมาเมื่อใช้เชื่ออำเภอศีขรภูมิ แล้วจึงเรียกชื่อปราสาทแห่งนี้ว่า ปราสาทศีขรภูมิ ตามไปด้วย
ปราสาทศีขรภูมิ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรม ประกอบด้วย ปราสาทก่อด้วยอิฐ 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน โดยมีคูน้ำรูปตัวยูล้อมรอบ ยกเว้นด้านตะวันออก ซึ่งเป็นทางเข้าสู่ปราสาทเป็นถนนปูลาดด้วยศิลาแลงมาจนถึงบันไดทางขึ้นลงปราสาท บนฐานศิลาแลง ที่สูงราว 1 เมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 23.4 25 เมตร องค์ปราสาทประธานจะตั้งอยู่ตรงกลาง โดยมีปราสาทขนาดย่อมตั้งอยู่ประจำทั้งสี่มุม
และปราสาทองค์ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ปรากฏมียอดสมบูรณ์นั้น ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐธิราช ของเวียงจันทน์ (หรือสมัยอยุธยาตอนปลาย) และที่กรอบประตู ทางเข้าปราสาทองค์ที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าทิศตะวันออกเฉียงใต้จะมีจารึกอักษรลาวอยู่ที่กรอบประตู โดยเล่าเรื่องราวของการบูรณะปราสาท เอาไว้ (เรียกว่าอักษรธรรม)
ปราสาทบริวาร อีกส 2 หลัง คือ ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม มีรอยร้าวทั่วไปส่วนประสาทประธาน คือ หลังที่สูงใหญ่ตรงกลางมียอดหัก เหลืออยู่เพียงชั้นบังบาตร 3 ชั้น สูงขึ้นไปราว 12 เมตร มีฐาน 10.6 เมตร โดยมีกรอบประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก ทำด้วยศิลาทรายสีชมพู สลักลวดลายก้ามปู และรูปเทพธิดายืนถือดอกบัวงดงามมากด้านข้างจะเป็นรูปทวารบาลยืนถือกระบองทั้ง 2 ข้างเช่นกัน
เหนือกรอบประตูขึ้นไปเป็นทับหลัง สลักภาพศิวะนาฏราชยืนบนแท่นมีหงส์แบกอยู่ 3 ตัว โดยมีหน้ากาลรองรับอยู่ข้างล้าง หน้ากาลมีมือ 2 ข้างจับเท้าสิงห์ ข้างละ 1 โดยรูปสิงห์อยู่ในท่ายืนด้วยขาหลังและมีอุ้มเท้าขาหน้ากุมดอกบัวบานมีท่อนพวงมาลัย โค้งขึ้นลงภายในวงโค้งนั้นจะมีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และพระลักษมี อยู่เป็นช่องๆ ประจำนอกเหนือวงโค้งจะมีรูปโยคีนั่งอยู่แถวและท้ายแถวรูปสลักเหล่านี้ อยู่บนฐานบัวหรือปทุมอาสน์รองรับ
ส่วนด้านใต้ลงมาจะเป็นภาพบุคคลและสัตว์จำนวนมากประกอบอยู่อันเป็นลักษณะของศิลปะเขมรแบบนครวัด (ในพุทธศตวรรษที่ 17) (หรือประมาณพุทธศักราช 1650-1720)