ศูนย์ข่าวขอนแก่น - นักวิชาการ มข. ไม่เห็นด้วยจัดประชุม ครม.สัญจร ที่อุดรธานี เชื่อมีการต้านอารยะขัดขืนหลายกลุ่มแน่ และอาจนำไปสู่การปะทะกันของคนที่เอา-ไม่เอารัฐบาล ชี้การเปิดลงประชามติเลือกข้างรัฐบาล เป็นแค่เกมซื้อเวลา วอนกระบวนการยุติธรรมเร่งพิพากษาให้เสร็จทุกคดี จะนำพาชาติพ้นวิกฤต
วันนี้ (4 ก.ย.) นายสมพันธ์ เตชะอธิก อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้เรียกคณะรัฐมนตรีประชุมด่วนที่กองบัญชาการกองทัพไทยที่ผ่านมา และครม.มีมติตามข้อเสนอของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ให้มีการทำประชามติถามความเห็นประชาชนว่าจะให้รัฐบาลทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่
รวมถึงกรณีที่นายธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอให้จัดการประชุม ครม.สัญจรที่ต่างจังหวัดแทนทำเนียบรัฐบาลที่ยังคงมีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยจะเริ่มสัญจรครั้งแรกในวันอังคารที่ 9 ก.ย.นี้ ที่จ.อุดรธานี
นายสมพันธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่ารัฐบาลมีเหตุผลใดที่เลือกประชุมสัญจรที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอาจเพราะมีส.ส.ของรัฐบาลหลายคนที่มีเครือข่ายประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งความเคลื่อนไหวสนับสนุนโดนนายขวัญชัย ไพรพนา (สาระคำ) ดีเจวิทยุชุมชนที่ป่าวประกาศเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลอย่างชัดเจนมาตลอด และยังปลุกระดมคนมาขับไล่และทำร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ไปจัดเวทีให้ความรู้ทางการเมืองที่อุดรธานี ซึ่งเป็นความรุนแรงขั้นทำร้ายร่างกายประชาชนเป็นพื้นที่แรก จึงเหมือนเป็นสถานที่ปลอดภัยของคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรคำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการอารยะขัดขืนของกัปตันการบินไทย ที่จะประท้วงไม่บิน หากมี ส.ส.ของรัฐบาลอยู่บนเครื่อง เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และเป็นอารยะขัดขืนที่ดีที่สุด เพราะมีผู้เดือดร้อนคือผู้ที่ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนจริงๆ เท่านั้น
แต่หากยังมีการดื้อดึงที่จะจัด ครม.สัญจรที่อุดรธานีให้ได้ อาจเกิดการรวมตัวประท้วงปิดสนามบินอุดรธานี หรือในสถานที่ที่จะจัดการประชุม และอาจนำพาไปถึงการปะทะกันของผู้สนับสนุนรัฐบาล และผู้ที่ต้องการให้รัฐบาลลาออก จึงเห็นว่ารัฐบาลควรยกเลิก
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะเปิดให้มีการลงประชามติ เพื่อถามความเห็นประชาชนว่าต้องการให้รัฐบาลอยู่ต่อหรือไม่ ถือเป็นแนวความคิดที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากยังมีประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารความจริง ไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ เนื่องจากสื่อฟรีทีวี ที่เป็นสื่อกระแสหลัก ยังไม่เปิดเผยข้อมูลความจริงให้ประชาชนได้รับรู้ครบทุกด้าน และเท่าเทียม
จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่โปร่งใส ขาดความเป็นธรรม และเป็นเพียงการชิงความได้เปรียบของรัฐบาล การลงประชามติจึงเป็นเพียงเครื่องมือซื้อเวลาของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น และถึงแม้ผลประชามติจะออกมาไม่สนับสนุนรัฐบาล ถามต่อว่ารัฐบาลจะยอมรับหรือไม่ นายกรัฐมนตรีจะยอมรับผลประชามติหรือไม่ สุดท้ายก็เป็นการสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น
นายสมพันธ์ เสนอทางออกเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ที่ดีที่สุด คือ การเสนอข่าวสารที่เท่าเทียม สื่อมวลชนต้องไปเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารของรัฐบาลเท่านั้น ต้องเปิดเวทีให้กับมวลชนทั้งสองด้าน ด้วยเงื่อนไขเวลาที่เท่าเทียม ให้ประชาชนได้รับรู้ความจริงทั้ง 2 ด้าน ย่อมเกิดการคิดวิเคราะห์ และนำไปสู่การตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จะไม่เกิดความรุนแรง ไม่มีการปะทะกัน คนไทยจะไม่ฆ่ากันเองอีกต่อไป
สื่อมวลชนต้องตระหนักถึงผลจากการนำเสนอข่าวสารหากไม่รอบด้าน ขาดความเท่าเทียม จะนำพาชาติสู่หายนะ แต่หากสื่อมีความเป็นอิสระ เสนอข่าวด้วยความจริง ทุกด้าน เท่าเทียม เป็นธรรม ก็จะนำพาชาติสู่สันติสุข
ประการสำคัญที่สุด คือ กระบวนการยุติธรรมที่ต้องไม่เชื่องช้าอีกต่อไป หากเร่งตัดสินในคดีต่างๆ และเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณชนอย่างโปร่งใส ทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นคดีของนายสมัคร สุนทรเวช คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคดีเกิดจากระบอบทักษิณ รวมทั้งคดีที่เกี่ยวกับพันธมิตรฯ ทุกคดี เชื่อว่าจะนำพาชาติพ้นจากหุบเหวแห่งความขัดแย้งได้
“หากมีการเปิดเผยเกี่ยวกับคดีความทุกคดี ผ่านฟรีทีวีทุกช่องพร้อมๆ กัน ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่มีประชาชนดูทั่วประเทศ นำเสนอความเป็นมาของคดี และแจ้งให้รู้ว่าขณะนี้แต่ละคดีอยู่ในขั้นตอนใดแล้ว นำเสนอทุกวัน อย่างน้อย 5-7 วัน และเร่งตัดสินทุกคดี ต้องไม่เชื่องช้าอีกต่อไป ประเทศไทยจึงจะพ้นจากวิกฤต ความจริงจะช่วยให้ประชาชนร่วมพลิกฟื้นแผ่นดินได้” นายสมพันธ์กล่าว