กาฬสินธุ์ - เจ้าหน้าที่ส่วนป้องกันรักษาป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 มหาสารคามนำกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 70 นายบุกจับผู้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงแม่เผด รวบผู้ต้องหาได้ 2 ราย ยึดไม้แปรรูป 86 แผ่น พบการบุกป่าอีกกว่า 200 ไร่ เสียหายกว่า 30 ล้านบาท
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (19 มิ.ย.) นายพิชิต สมบัติมาก ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (มหาสารคาม) นายพัณณ์เดชน์ ศรีจันทร์ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ กว่า 70 นาย นำกำลังเข้าปิดล้อมปราบปรามผู้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงแม่เผด บริเวณเขตพื้นที่ต้นน้ำที่ไหลไปรวมกับลำน้ำยัง ติดกับบ้านสุขสมบูรณ์ ต.นาขาม อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เขตรอยต่อกับ จ.ร้อยเอ็ดตามคำสั่งการของนายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้
โดยจากการปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 2 ราย ประกอบด้วยนายประจักร์ สมวรรณา อายุ 43 ปี ราษฎรบ้านบึงงาม ต.นาดี อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ได้เข้าบุกรุกพื้นที่ป่ารวม 20 ไร่ และ นายไพรสัน ทิพย์ศาลา อายุ 39 ปี ราษฎรบ้านเดียวกัน ได้บุกรุกพื้นที่ป่ารวม 18 ไร่ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ส่งพนักงานสอบสวน สภ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์
โดยแจ้งข้อหาบุกรุก แผ้วถาง กันสร้างทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และบุกรุก แผ้วถาง กันสร้างทำให้เสื่อมสภาพป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ส่วนผู้กระทำผิดรายอื่นไหวตัวทัน สามารถหลบหนีไปได้ และจากการตรวจสอบอย่างละเอียดเจ้าหน้าที่พบการบุกรุกป่าดังกล่าวรวมทั้งหมด 200 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่บุกรุกปลูกยางพาราและสามารถตรวจยึดไม้กระบกแปรรูปที่ซุกซ่อนไว้ที่ต่างๆได้อีก 86 แผ่น
นายพิชิต สมบัติมาก ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (มหาสารคาม) กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลและคำสั่งการของนายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรามปราม หยุดยั้งผู้บุกรุกป่าเชิงรุกและเข้มข้นอย่างเด็ดขาด ประกอบกับที่ผ่านมาส่วนป้องกันรักษาป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (มหาสารคาม)ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านและผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ว่า มีราษฎรซึ่งเป็นเครือข่ายของนายทุนในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จำนวน 7 ราย
โดยหนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ ได้เข้าบุกรุก โดยการแผ้งถางป่า ตัดไม้ในพื้นที่ เพื่อทำการปลูกยางพาราจำนวน 200 ไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถูกแผวถางจนโล่ง เหลือเพียงต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ต้นเท่านั้น
นายพิชิต กล่าวอีกว่า สำหรับพื้นที่ป่าดังกล่าวเดิมเป็นป่าเบ็ญจพรรณมีความอุดมสมบูรณ์ และถือเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำที่ล่อเลี้ยงชาวบ้านอย่างดี แต่ปัจจุบันถูกบุกรุกแผ้วถางไปจำนวนมาก ซึ่งหากปล่อยไว้ต่อไปพื้นที่ป่าดังกล่าวก็ยิ่งจะมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
