ศูนย์ข่าวขอนแก่น - เครือข่ายภาคประชาชนอีสานประกาศจุดยืนต้านรัฐบาลหุ่นเชิดใช้กำลังชุมนุมพันธมิตรฯ เห็นด้วยเงื่อนไขชุมนุมต้านแก้รัฐธรรมนูญหวังฟอกผิดอดีตผู้นำพ้นอาญาแผ่นดิน ย้ำ 3 เดือนรัฐบาลนอมินีบริหารล้มเหลว เมินปัญหาปากท้องประชาชน ชี้ข้ออ้างผลกระทบ ศก.-จราจรเรื่องเล็ก ปกป้องผลประโยชน์แผ่นดินยิ่งใหญ่กว่า ลั่นหากสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายเมื่อไหร่พร้อมปลุกคนทั่วประเทศออกมาร่วมต่อสู้ทันที
ก่อนเที่ยงวันนี้ (3 มิ.ย.)ที่ศาลาประชาคม จ.ขอนแก่น เครือข่ายภาคประชาชน อีสานได้มีการนัดประชุมแกนนำเครือข่าย ซึ่งมาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานประมาณ 100 คน โดยการนัดประชุมครั้งนี้มีการเสวนาในประเด็นการเมืองภาคประชาชนกับวิกฤตข้าวยากหมากแพง
นายพิทยพันธ์ แวะสีภา เลขานุการสมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เครือข่ายประชาชนภาคอีสาน และองค์กรต่างๆ ได้ร่วมกันศึกษาข้อมูลและสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นที่สะพานมัฆวานฯ พร้อมกับการแสดงออกของรัฐบาล ซึ่งเห็นได้ว่า การออกมาเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
อีกทั้งสิ่งที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แสดงออกด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม ว่าจะมีการสลายการชุมนุมขั้นแตกหัก แม้จะมากลับคำพูดภายหลังก็ตาม ถือเป็นการข่มขู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาสู้เพื่อชาติบ้านเมือง และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่คนอีสานและคนทั่วโลกยอมรับไม่ได้
จึงต้องออกมาแสดงจุดยืนเพื่อขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะต่อต้านการใช้ความรุนแรงในการยุติการชุมนุม อีกทั้งเห็นว่าตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลมีความชัดเจนในการบริหารงานเพื่อตั้งใจล้างมลทินของ นักการเมือง 111 คนของพรรคไทยรักไทย และฟอกความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู่การบริหารประเทศต่อไปให้ได้ เป็นผลงานชิ้นเดียวที่รัฐบาลชุดนี้ยึดถือปฏิบัติ ด้วยการวนเวียนอยู่กับเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น ท่ามกลางความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนกับปัญหาน้ำมันแพง สินค้าขึ้นราคาทุกรายการ เป็นสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงที่เดือดร้อนไปทั่ว
นายพิทยพันธ์ กล่าวอีกว่า ทางเครือข่ายประชาชนจำเป็นต้องจัดเวทีเพื่อประกาศเจตนารมณ์และร่วมกันให้ข้อมูลความจริงต่อประชาชนในชนบท ให้ได้รับความรู้ และรู้เท่าทันนักการเมืองให้มากที่สุด เนื่องจากปัจจุบัน ชาวบ้านไม่ได้ชม ASTV แต่ต้องดูฟรีทีวี ที่ทำข่าวแบบตัดตอนความจริง จึงยากที่จะรู้ว่าตอนนี้บ้านเมืองเป็นอย่างไร ดังนั้น จะต้องมีการทำสภาประชาชน จากทุกตำบลให้สำเร็จ เพื่อกระจายข่าวสารและข้อมูลสู่ทุกชุมชน
ส่วนการที่มีกลุ่มคนออกมาเรียกร้องความสงบในบ้านเมืองด้วยการใช้สัญลักษณ์ริบบิ้นสีขาว หรือเปิดไฟใส่หมวกนั้น นายพิทยพันธ์ บอกว่า เครือข่ายประชาชนอีสานไม่สะทกสะท้านกับการออกโรงของผู้ที่เรียกร้องให้ใช้ริบบิ้นสีขาวหรือเปิดไฟ ใส่หมวก เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในสังคมนั้น ตนและพี่น้องประชาชนที่รักชาติบ้านเมือง เห็นว่านี่เป็นเพียงนวัตกรรมทางภาษา ที่นำออกมาใช้กันเพียงเพื่อหวังลดแรงเสียดทาน ลดความรุนแรง ส่วนผู้ที่บอกว่าควรถอยคนละก้าวนั้น ต้องทบทวนใหม่ เพราะจะไม่มีการถอยคนละก้าวอย่างแน่นอน
“เมื่อผู้ชุมนุมเพื่อรักษาชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สะพานมัฆวานฯ ล้วนยืนหยัดด้วยความดีและความจริง แล้วจะให้ถอยออกมานั้น ก็คือการยอมก้าวเข้าสู่ความชั่ว เราจะไม่มีทางก้าวสู่ความชั่วอย่างแน่นอน” นายพิทยพันธ์ กล่าว
นายภุชงค์ กนิษฐชาติ ตัวแทนสมาคมองค์กรสาธารณประโยชน์เพื่อประชาคมที่เข้มแข็ง กล่าวเพิ่มเติมถึงการออกมาชุมนุมของพันธมิตรฯ รอบ 2 ครั้งนี้มีความชอบธรรมเป็นอย่างมากที่ชูประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญต้านระบอบทักษิณ เพราะอยู่แล้วว่าหากแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาต่างๆทันทีขณะที่อดีตกรรมการบริหาร 111 คนของไทยรักไทยก็จะกลับสู่เวทีการเมืองได้เช่นเดิม ดังนั้นจะเห็นว่าตลอด 3 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ไม่ได้บริหารแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเลย มุ่งแต่จะปลดปล่อย พ.ต.ท.ทักษิณให้หลุดจากกระบวนการยุติธรรม
“พันธมิตรฯ ต่อสู้กับประเด็นปัญหาเหล่านี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติ หากพันธมิตรพ่ายแพ้ พี่น้องประชาชนก็แพ้ด้วย ดังนั้นต้องให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพี่น้องพันธมิตร” นายภุชงค์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมของเครือข่ายภาคประชาชนอีสานครั้งนี้ได้ออกแถลงการณ์ประกาศจุดยืนต่อกรณีรัฐบาลที่จะสลายการชุมนุมด้วย โดยในแถลงการณ์ระบุว่า
1.เครือข่ายประชาชนภาคอีสานเห็นว่าการที่ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในครั้งนี้เป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 69 และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทยตามมาตรา 70 ในการปกครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและพร้อมจะดำเนินการไปด้วยความสงบ อหิงสาและปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 623 ที่บัญญัติไว้
2.การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่มีกฎหมายและสภาวการณ์รองรับ จึงไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ดังที่เคยมีตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสงขลา คดีหมายเลขแดง51/2549 ความตอน 1 ว่า “ถึงแม้เจ้าหน้าที่รัฐจะมีอำนาจกีดขวางการชุมนุมตามกฎหมาย แต่ต้องเป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามหรือมีประกาศกฎอัยการศึก แต่หากในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมนั้นบ้านเมืองไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามหรือไม่มีกฎอัยการศึกหรือแม้แต่ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมนั้นบ้านเมืองไม่ได้อยู่สภาวะดังกล่าว การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่นั้นจะถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด”
3.ในภาวะที่ไม่มีกฎหมายรองรับในการสลายการชุมนุม เครือข่ายประชาชนภาคอีสานจะไม่ยินยอมให้มีการทำร้ายร่างกายแก่ผู้ชุมนุม ที่ไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายหรือทำลายทรัพย์สินใดๆ ออกจากสถานที่การชุมนุม และพร้อมสนับสนุนให้ผู้ชุมนุมใช้สิทธิปกป้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินตามสมควรแก่เหตุ
4.หากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินหรือประกาศกฎอัยการศึก เครือข่ายภาคประชาชนอีสานขอสนับสนุนพันธมิตรฯและประชาชนผู้ร่วมชุมนุมให้อยู่ในความสงบด้วยกระบวนการอหิงสา ที่ปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63
และ 5.หากมีการสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมาย เครือข่ายภาคประชาชนอีสาน จะยืนอยู่เคียงข้างและให้การสนับสนุนแก่พันธมิตรฯ และเรียกร้องให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมกันต่อสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างถึงที่สุดต่อไป