ทีมข่าว ศูนย์ข่าวภูเก็ต รายงาน......
“คอคอดกระ ภูเขาหญ้า กาหยูหวาน ธารน้ำแร่ มุกแท้เมืองระนอง” คือ คำขวัญประจำจังหวัดระนอง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เม็ดกาหยู หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัด แต่แทนที่คนไทยทั่งประเทศ จะจำได้ว่า สิ่งเหล่านี้ คือ สัญลักษณ์ของ จ.ระนอง กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่ทำให้คนจำ จ.ระนอง ได้คือ เป็นจังหวัดที่มีชาวพม่าอาศัย และเข้ามาทำงาน อีกนัยหนึ่ง คือ เมืองที่เต็มไปด้วยพม่า
ทุกวันนี้แทบจะแยกไม่ออกเลยว่า พื้นที่ใดของ จ.ระนอง ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ตำบล เมือง หรืออำเภอไหนของ จ.ระนอง ที่ไม่มีชาวพม่าอาศัยอยู่ ทุกตารางนิ้ว คราคล่ำไปด้วยชาวพม่า ทั้งที่เดินตามท้องถนน ปั่นจักรยานไปทำงานตามแพปลาต่าง ๆ ที่มีอยู่กว่า 100 แห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ เขตเทศบาลตำบลปากน้ำ อ.เมืองระนอง
ท่าเทียบเรือตำบลปากน้ำทุกวันจะเนืองแน่นไปด้วยชาวพม่านับพันคน ที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมการประมง เร่งทำงานให้เป็นไปตามเป้าที่นายจ้าง ผู้ประกอบการตั้งไว้ เมื่อถึงเวลา 08.00 น.ของทุกวัน พวกเค้าจะต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่าง เพื่อยืนเคารพเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผืนแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ที่ทำให้พวกเขามีข้าวกิน มีงานทำ มีเงินใช้ ลูกเด็ก เล็กแดงที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากประเทศบ้านเกิด มีนมกิน
ทีมข่าว “ผู้จัดการออนไลน์” มีโอกาสเข้าไปยังชุมชนชาวพม่า พื้นที่หมู่ 1 ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง โดยมี ซอร์ อาสาสมัครล่ามชาวพม่า มูลนิธิศุภนิมิตร โครงการพิเศษระนอง ซึ่งเค้ามาอาศัยอยู่ที่ จ.ระนอง กว่า 6 ปีแล้ว พาเข้าไป เนื่องจากชาวพม่าที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นมอญ และทวาย จะไม่เปิดรับคนแปลกหน้า
ตลอดทางรอบ ๆ ตัว เต็มไปด้วยชาวพม่าทุกเพศ ทุกวัย กำลังทำกิจวัตรประจำวันที่แตกต่างกันออกไป บางบ้านสมาชิกกำลังนอนพักผ่อน หลังว่างเว้นจากการทำงาน บางบ้านผู้หญิงกำลังรีดผ้า เลี้ยงลูกน้อยวัยแรกคลอด ส่วนเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันอย่างสนุกสาน ปนความแปลกใจที่เห็นคนแปลกหน้าเข้าไปในชุมชน
ซอร์พาเดินไปตามบ้านหลังต่าง ๆ ที่มีสมาชิกอยู่รวมกันไม่ต่ำกว่า 8 คน เป็นทั้งเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่มาจากจังหวัดเดียวกันของพม่า มาเจอกันที่ระนอง ก็มาอยู่รวมกัน โดยเจียดเงินเดือนมาเป็นค่าเช่าเดือนละ 1,200 บาท สภาพทั่วไปเป็นชุมชนแออัด เมื่อเริ่มคุ้นเคยกันการพูดคุยเริ่มมีมากขึ้น
ซอร์ บอกว่า ชาวพม่าส่วนน้อยที่พูดภาษาไทยได้ ส่วนใหญ่ทำงานเป็นลูกเรือประมง และอยู่ตามแพปลาต่าง ๆ ที่มีอยู่กว่า 100 แห่ง แม้จะเป็นงานหนัก และเหนื่อย แต่ทุกคนก็ยินดี เพราะมีที่ให้นอน มีข้าวกิน ไม่เสี่ยงอดตายทั้งครอบครัว เหมือนอยู่ที่พม่าแน่นอน
เราได้พบกับ ทาน วิน ชายชาวพม่าวัย 51 ปี เล่าว่า ตนเองตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนที่ จ.จเย หอบลูก เมีย มาทำงานเป็นลูกเรือประมงอยู่แพปลาที่ จ.ระนอง กว่า 4 ปีแล้ว หลังจากมาอยู่ที่นี่ ความเป็นอยู่ดีขึ้น มีงานทำ มีเงิน รัฐบาลไทยดูแลดีกว่ารัฐบาลพม่ามาก หากเป็นไปได้ ตนอยากตั้งรกรากที่นี่
“อยู่ที่เมืองไทย เรามั่นใจว่า ครอบครัวเรา ทั้ง ลูก เมีย หลานตัวเล็ก ๆ ไม่อดตายแน่ มีงานให้ทำมากมาย เงินก็ดี เดือนหนึ่งเราได้เงินเดือนประมาณ 6,000 บาท จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังเหลือพอกินอยู่ไปแต่ละวัน บางส่วนส่งกลับไปให้พ่อ แม่ ที่พม่า”
ส่วน ยี มา แต สาวชาวพม่าอีกคน ที่มีโอกาสคุยด้วย เธอเล่าให้ฟังว่า ตัดสินใจทิ้งครอบครัวมาทำงานแบกหามที่ จ.ระนอง ได้กว่า 5 ปีแล้ว ได้ค่าจ้างเดือนละ 3,000 บาท แม้จะน้อยในสายตาคนไทย แต่มากกว่าเคยได้ที่พม่า 3 เท่าตัว พอเลี้ยงตัว และครอบครัวซึ่งรออยู่ที่พม่า ใช้จ่ายอย่างประหยัด เจียดเป็นค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,200 บาท อยู่ที่เมืองไทยดีกว่าพม่ามาก
แต่ก็อยากกลับไปตายที่บ้านเกิด เพราะทุกวันนี้ ต้องอดทนกับความ “คิดถึงลูก” แต่เมื่อคิดกลับไปว่า หากหลับไปพม่า “ลูกจะไม่มีข้าวกิน” กำลังใจก็ฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เคยทำงานแบกหามที่พม่าได้เดือนละ 20,000 จ๊าต คิดเป็นเงินไทยก็ได้ประมาณกว่า 500 บาท เพราะค่าเงินพม่าถูกมาก 35 จ๊าต เท่ากับ 1 บาทเงินไทย
เช่นเดียวกับ กวาง วิน ผ่านมากว่าครึ่งชีวิต ตัดสินใจพาครอบครัวออกจากเมืองทวาย มาทำงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถที่ จ.ระนอง ได้ค่าจ้างเดือนละ 6,000 บาท กว่า 10 ปีแล้ว ไม่เคยกลับไปบ้านที่พม่าเลย แต่ครอบครัวกลับไปบ้าง เพราะที่นี่มีงาน มีเงิน มีข้าว และได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐบาลไทย ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยใดมาคุกคามความเป็นอยู่ เพราะเค้าเข้าเมืองมาถูกต้องตามกฎหมาย
พม่าเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย รบ.ไทยให้สิทธิ 30 บาท
ด้านนายเลวี แก้วประการ ผู้ประสานโครงการพิเศษระนอง มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ซึ่งร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ จ.ระนอง ดูแลแรงงานพม่ามานาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันแรงงานพม่าที่มีอยู่ในพื้นที่ จ.ระนอง กว่า 80,000 คน แต่ขึ้นทะเบียนแรงงานถูกต้องไม่ถึง 20,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการประมง
โดยที่มูลนิธิฯ รับถ่ายงานมาจากโรงพยาบาลระนอง ให้บริการตรวจรักษาโรคเบื้องต้น ฉีดวัคซีน และตรวจหาเชื้อวัณโรค เป็นต้น ป้องกันไม่ให้แรงงานพม่าไปกระจุกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลระนองมากจนเกิดไป ให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-12.00 น. ซึ่งแรงงานพม่าที่เข้าเมืองถูกต้อง มีใบอนุญาตทำงาน รัฐบาลไทยจะให้สิทธิ 30 บาท รับบริการสาธารณสุขได้ตามสถานพยาบาลทุก
สาเหตุหลักที่ทั้งภาครัฐ องค์กรเอกชนต้องดูแลแรงงานเหล่านี้ คือ เรื่องสิทธิมนุษยชน และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ที่อาจติดมากับพวกเค้า โดยเฉพาะเอดส์ และวัณโรค จากข้อมูลพบว่า ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วย 296 ราย และยังพบการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการควบคุมอย่างดีแล้วก็ตาม
สถิติเด็กพม่าแรกคลอดที่ รพ.ระนองพุ่งสูงทุกปี
ขณะที่จากการบันทึกข้อมูลสถิติการเกิดของแรงพม่าที่โรงพยาบาลระนองพบว่า เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยปี พ.ศ.2549 มีจำนวนเด็กพม่าคลอดทั้งสิ้น 1,091 คน ปี พ.ศ.2550 จำนวน 1,078 คน และ 6 เดือนแรกของปี 2551 ทะลุเกือบ 600 คนแล้ว แต่เด็กเหล่านี้จะไม่ได้รับสัญชาติไทย ดีที่สุดคือ มีใบรับรองการเกิดจากโรงพยาบาลเท่านั้น ได้รับสิทธิดูแลจากรัฐบาลไทยจากบัตร 30 บาท
“เด็ก”ได้สัญชาติไทยแน่ หากแม่-พ่อ เป็นคนไทย
ผู้ประสานโครงการพิเศษระนอง มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย กล่าวต่อไปว่า เด็กพม่าที่คลอดในประเทศไทย จะได้รับสัญชาติไทยก็ต่อเมื่อ มีแม่เป็นคนไทยเท่านั้น ส่วนกรณีพ่อเป็นคนไทย แม่เป็นพม่า รัฐบาลไทยไม่อนุญาต เพราะอาจมีการแอบอ้าง แต่หากผลตรวจดีเอ็นเอ ยืนยันว่า มีพ่อเป็นคนไทยจริง ก็จะได้รับสัญชาติไทย ซึ่งทั้ง 2 กรณี ยังไม่มีข้อมูลบันทึกไว้ เพราะไม่เคยมีใครยอมรับว่า ตนเองมีสามี หรือภรรยาเป็นชาวพม่า
โดยเด็กเหล่านี้จะได้รับการศึกษาเทียบเท่าเด็กไทย เข้าเรียนโรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งของไทย และองค์กรเอกชน วุฒิการศึกษาเป็นที่ยอมรับ สามารถนำไปเรียนต่อที่พม่าได้ จนนำมาซึ่งคำถามในใจคนไทยหลายคนว่า แรงงานพม่าเหล่านี้มาแย่งสิทธิที่ควรจะเป็นของตน แต่หากรัฐบาลไทย เพิกเฉยไม่ดูแล ก็จะนำมาซึ่งปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอย่างแน่นอน
แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทำให้ชาวพม่า ทะลักเข้ามาขายแรงงานที่ประเทศไทย จนทำให้เมืองระนองกลายเป็นเมืองพม่าขนาดย่อม ก็เป็นผลมาจากการที่คนไทยเลือกงาน ผู้ประกอบการต้องการจ้างแรงงานราคาถูก และสำคัญที่สุด คือ พม่าต้องการหนีความอดอยากจากบ้านเกิดของตนเอง จึงทะลักเข้ามาจำนวนมากในแต่ละปี
มีทั้งถูกต้องตามกฎหมาย และลักลอบเข้าเมืองจนกลายเป็นชนวนนำมาซึ่งความสูญเสีย ในเหตุการณ์แรงงานต่างด้าวชาวพม่าขาดอากาศหายใจเสียชีวิตคารถบรรทุกห้องเย็น 54 ศพ อย่างน่าอนาถ พื้นที่ อ.สุขสำราญ เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 9 เมษายน 2551 ที่ผ่านมา




