xs
xsm
sm
md
lg

ตะลึงรุกป่าที่ดินหลวง 3 พันไร่ ผู้ว่าฯ สกลนครจี้สอบเอาผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สกลนคร - ผู้ว่าฯ สกลนคร เต้นพบที่ดินป่า และที่ดินสาธารณะถูกบุกรุกเกือบ 3 พันไร่ ทั้งอุทยานฯ ป่าสงวนฯ ที่ราชพัสดุและที่สาธารณะ สั่งตรวจสอบย้อนหลัง 5 ปี เผยสั่งแจ้งความเอาผิดแล้ว 201 คดี ด้านผู้การตำรวจสั่งระดมเฝ้าระวังเต็มที่ เน้นต้องเร่งสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนร่วมกันรักและหวงแหนผืนป่า


นายไพรัตน์ สกลพันธุ์ ผู้ว่าราชการสกลนคร เปิดเผยว่า จากการที่ทางรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งให้มีการสำรวจพื้นที่ที่ถูกบุกรุก โดยเฉพาะป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ ที่ราชพัสดุ และที่สาธารณะประโยชน์ พร้อมให้มีการรายงานต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อรับทราบ

จากการตรวจสอบพบพื้นที่ที่มีการบุกรุก ได้แก่ อุทยานแห่งชาติภูพาน จำนวน 35 แปลง เนื้อที่ 119 ไร่ ผู้บุกรุก 18 ราย, อุทยานแห่งชาติภูผาเหล็ก จำนวน 8 แปลง เนื้อที่ 101 ไร่ ผู้บุกรุก 8 ราย, อุทยานแห่งชาติภูผายล จำนวน 105 แปลง เนื้อที่ 665 ไร่ ผู้บุกรุก 44 ราย, ธนารักษ์พื้นที่สกลนคร จำนวน 11 แปลง เนื้อที่ 289 ไร่ ผู้บุกรุก 369 ราย

อ.เมืองสกลนคร พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 5 ไร่ ผู้บุกรุก 2 ราย, อ.สว่างแดนดิน ที่สาธารณประโยชน์ จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 41 ไร่ ผู้บุกรุก 10 ราย, อ.วานรนิวาส ที่สาธารณะประโยชน์ จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 300 ไร่ ผู้บุกรุก 2 ราย, อ.พรรณานิคม ที่สาธารณประโยชน์ จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ 397 ไร่ ผู้บุกรุก 16 ราย, อ.พรรณานิคม ประเภทลำห้วย จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 10 ไร่ ผู้บุกรุก 4 ราย, อ.วาริชภูมิ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ 36 ไร่ ผู้บุกรุก 4 ราย, อ.กุสุมาลย์ ที่สาธารณประโยชน์ จำนวน 29 แปลง เนื้อที่ 272 ไร่ ผู้บุกรุก 29 ราย อ.ภูพาน

พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 25 ไร่ อ.ภูพาน, อุทยานแห่งชาติ จำนวน 9 แปลง เนื้อที่ 31 ไร่, อ.เต่างอย ที่สาธารณประโยชน์ จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 51 ไร่ ผู้บุกรุก 1 ราย, อ.นิคมน้ำอูน พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 53 ไร่ ผู้บุกรุก 2 ราย, อ.กุดบาก พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 120 ไร่ อ.กุดบาก อุทยานแห่งชาติ เนื้อที่ 930 ไร่ รวมพื้นที่บุกรุก 3,405 ไร่

เนื่องจากป่าในเขตนี้ถือได้ว่าเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ป่าในแนวนี้จึงมีความอุดมสมบูรณ์ หากยังมีการบุกรุกต่อไปอาจส่งผลเสียต่อระบบนิเวศของธรรมชาติอย่างแน่นนอน อาทิระบบการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า การสร้างระบบนิเวศของของป่าไม้ตามธรรมชาติที่ลดลง และจะส่งผลเสียต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างแน่นนอน

ล่าสุด จากการที่นายอำเภอทุกเขตที่ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่า ได้มีการรายงานว่า ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีย้อนหลังไป 5 ปี ต่อผู้ที่บุกรุกที่ป่าทั้งในเขตป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ ที่ราชพัสดุที่สาธารณะประโยชน์ สามารดำเนินคดีแล้วทั้งสิ้น 201 คดี และยังคงเตรียมดำเนินคดีต่ออีกหลายคดีในหลายแห่งเมื่อได้ตรวจสอบในเอกสารสิทธิเสร็จสิ้นว่าได้รับโดยถูกต้อง หรือเป็นการบุกรุกพื้นที่ เพราะต้องเร่งดำเนินการโดยเฉียบขาด โดยจะไม่ยอมให้มีการเข้าบุกรุกอย่างแน่นนอน

ส่วนวิธีการส่วนใหญ่ที่พื้นที่โดยรวมถูกบุกรุกจะเป็นไปโดยการเข้าไป แผ้วถางป่า พร้อมบุกรุกเข้าไปตัดไม้ทำลายป่า เพื่อเข้าทำประโยชน์ ในการปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ มันสำปะหลัง ยางพารา รวมถึงมีการลักลอบปลูกยาเสพติด (กัญชา) ในบางพื้นที่ โดยมีกลุ่มนายทุนทั้งในพื้นที่

รวมถึงนายทุนและผู้มีอิทธิพลนอกพื้นที่เข้ามาจ้างวานชาวบ้านที่อาศัยตามแนวเขตป่าให้เป็นผู้ดำเนินการในการเข้าบุกรุกที่เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถสืบหาจับกุมถึงตัวนายทุนได้ และหากเมื่อมีการลักลอบตัดไม้ที่มีมูลค่าตามที่ตลาดต้องการไม้บางส่วนอาจมีการป้อนเข้าแปรรูปในโรงงานในพื้นที่โดยจะกระทำครั้งละไม่มากเพื่อการหลุดรอดสายตาของเจ้าหน้าที่

ส่วนไม้ที่ตลาดต่างประเทศต้องการ อาทิ ไม้พะยูง ไม้ยาง ไม้สัก ฯลฯ จะมีขบวนการขนย้ายโดยคาดใช้เส้นทางตามถนนสายรองในการลำเลียง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจค้นจับกุม ออกนอกพื้นที่ ซึ่งไม้เหล่านี้หากมีการนำส่งขายออกนอกประเทศ หรือการลักลอบแปรรูปแล้วจะมีมูลค่ามหาสาร ส่งผลเสียต่อประเทศโดยตรง

ทางด้าน พล.ต.ต.อุดม จำปาจันทร์ ผบก.ภ.จว.สกลนคร เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบโดยการร่วมมือกับหลายฝ่ายพบว่าในพื้นที่ป่าในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ในหลายจุด พบว่าปัญหาการลักลอบตัดไม้ และการบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อทำประโยชน์โดยชาวบ้านและกลุ่มนายทุนยังคงมีให้เห็นในทุกพื้นที่

ส่วนมาตรการที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องเร่งมือในการลงพื้นที่ปราบปรามและจับกุมผู้กระทำผิด คือ การให้ประชาชนต้องขึ้นบัญชีเลื่อยโซ่ยนต์ ทุกตัวหากตรวจสอบพบว่าเลื่อยยนต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนก็ต้องมีการดำเนินการโดยเด็ดขาด ส่วนการจับกุมการขนย้ายไม้ออกจากพื้นที่ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตั้งจุดตรวจจุดสกัดตลอด 24 ชม. เพื่อการปราบปรามอย่างจึงจัง จึงทำให้มอดไม้มีการใช้วิธิการอื่น เพื่อให้หลุดพ้นสายตาของเจ้าหน้าที่แต่ก็เป็นไปได้อยากยิ่งขึ้น เนื่องจากการทำงานในการปราบปรามเป็นไปแบบจุดตรวจใยแมงมุม จึงทำให้รอบการจับกุมที่ผ่านมาสามารถจับกุมเหล่ามอดไม้ได้อย่างต่อเนื่องและมีทีท่าว่าลดน้อยลง ส่วนการเข้าดำเนินการกับประชาชนในพื้นที่ที่มีการเข้าไปบุกรุกแผ้วถางป่า ถือว่าบางส่วนยังคงเป็นวิถี่ชีวิตคนในชุมชน ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐต้องเร่งทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่โดยอาศัยหลักรัฐศาสตร์ มากกว่านิติศาสตร์ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการปะทะใช้กำลัง คาดจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ทั้งคน ป่า และสัตว์ ดีกว่าแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น