พะเยา – พาณิชย์เตือนพ่อค้ากักตุนข้าวเสี่ยงขาดทุน คาด หลังข้าวนาปรังออก ราคาข้าวกลับสู่ภาวะสมดุล พร้อมลุ้นกลุ่มประเทศผู้ผลิต เจรจาสร้างเสถียรภาพราคาส่งออก เพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดโลกได้อย่างถาวรมากขึ้น
นายมนตรี ปานกล่ำ พาณิชย์จังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกจ้าวหอมมะลิ กก.ละ 16 บาท ข้าวเหนียว กก.ละ 12.50 บาท ข้าวสารจ้าวหอมมะลิ กก.ละ 28-29 บาท และข้าวสารเหนียว กก.ละ 20-21 บาท เฉลี่ยราคาข้าวสารจ้าวหอมมะลิตันละประมาณ 28,000-29,000 บาท ข้าวสารเหนียวตันละประมาณ 20,000-21,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สภาวะราคาข้าวสารดังกล่าวจะเริ่มชะลอตัวจะไม่สูงมากไปกว่านี้ หากผู้ประกอบการค้าข้าวคิดจะกักตุนข้าวสารในขณะที่ราคาสูง ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะภาวะราคาสูงจะไม่นานสักพักจะเกิดการชะลอตัวและราคาเริ่มลดลง สิ่งที่จะทำให้กลุ่มผู้ค้าข้าวไม่เกิดความเสี่ยงมาก คือ การซื้อมาแล้วขายไป การกักตุนสินค้าที่มีปริมาณจำกัดจะไม่ช่วยให้ราคาสูงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะถึงกักตุนไปปริมาณของก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และคาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เมื่อผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาด ราคาข้าวจะกลับมาลดราคาลงตามปกติแต่ก็ไม่ต่ำมากนัก
นายมนตรี ยังได้กล่าวอีกว่า กลไกทางการตลาดที่ทำให้ราคาข้าวภายในประเทศไทยสูงเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ เนื่องจากซัปพลายจากประเทศกลุ่มผู้ส่งออก เช่น อินเดีย เวียดนาม ได้ลดอัตราการส่งออก เช่น เวียดนาม จากเดิมตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวประมาณ 4.5 ล้านตัน ลดมาเหลือเพียงส่งออกประมาณ 3.5 ล้านตัน
ขณะที่ประเทศอินเดียก็ส่งออกแต่ข้าวบาสมาติก ขณะที่กลุ่มประเทศที่ต้องการบริโภคข้าว เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังต้องการซื้อข้าวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งผลิตข้าวอยู่แล้วเกิดการได้เปรียบ คือ ส่งออกข้าวได้มากขึ้น และเมื่อปริมาณข้าวส่งออกไปแล้วทำให้ปริมาณข้าวในประเทศมีจำนวนลดลง จึงส่งผลถึงราคาข้าวในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย
ในอนาคตกลุ่มประเทศผู้ค้าข้าวหลายประเทศ เช่น ไทย เวียดนาม อินเดีย หากได้ทำตามนโยบายที่วางได้ คือ การจับกลุ่มสร้างเสถียรภาพด้านราคาข้าวให้มั่นคง เหมือนกับกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน จะทำให้เกิดอำนาจการต่อรองทางการค้า อนาคตจะทำให้ข้าวมีราคาดีอย่างต่อเนื่องด้วย
นายมนตรี ปานกล่ำ พาณิชย์จังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกจ้าวหอมมะลิ กก.ละ 16 บาท ข้าวเหนียว กก.ละ 12.50 บาท ข้าวสารจ้าวหอมมะลิ กก.ละ 28-29 บาท และข้าวสารเหนียว กก.ละ 20-21 บาท เฉลี่ยราคาข้าวสารจ้าวหอมมะลิตันละประมาณ 28,000-29,000 บาท ข้าวสารเหนียวตันละประมาณ 20,000-21,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สภาวะราคาข้าวสารดังกล่าวจะเริ่มชะลอตัวจะไม่สูงมากไปกว่านี้ หากผู้ประกอบการค้าข้าวคิดจะกักตุนข้าวสารในขณะที่ราคาสูง ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะภาวะราคาสูงจะไม่นานสักพักจะเกิดการชะลอตัวและราคาเริ่มลดลง สิ่งที่จะทำให้กลุ่มผู้ค้าข้าวไม่เกิดความเสี่ยงมาก คือ การซื้อมาแล้วขายไป การกักตุนสินค้าที่มีปริมาณจำกัดจะไม่ช่วยให้ราคาสูงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะถึงกักตุนไปปริมาณของก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และคาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เมื่อผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาด ราคาข้าวจะกลับมาลดราคาลงตามปกติแต่ก็ไม่ต่ำมากนัก
นายมนตรี ยังได้กล่าวอีกว่า กลไกทางการตลาดที่ทำให้ราคาข้าวภายในประเทศไทยสูงเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ เนื่องจากซัปพลายจากประเทศกลุ่มผู้ส่งออก เช่น อินเดีย เวียดนาม ได้ลดอัตราการส่งออก เช่น เวียดนาม จากเดิมตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวประมาณ 4.5 ล้านตัน ลดมาเหลือเพียงส่งออกประมาณ 3.5 ล้านตัน
ขณะที่ประเทศอินเดียก็ส่งออกแต่ข้าวบาสมาติก ขณะที่กลุ่มประเทศที่ต้องการบริโภคข้าว เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังต้องการซื้อข้าวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งผลิตข้าวอยู่แล้วเกิดการได้เปรียบ คือ ส่งออกข้าวได้มากขึ้น และเมื่อปริมาณข้าวส่งออกไปแล้วทำให้ปริมาณข้าวในประเทศมีจำนวนลดลง จึงส่งผลถึงราคาข้าวในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย
ในอนาคตกลุ่มประเทศผู้ค้าข้าวหลายประเทศ เช่น ไทย เวียดนาม อินเดีย หากได้ทำตามนโยบายที่วางได้ คือ การจับกลุ่มสร้างเสถียรภาพด้านราคาข้าวให้มั่นคง เหมือนกับกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน จะทำให้เกิดอำนาจการต่อรองทางการค้า อนาคตจะทำให้ข้าวมีราคาดีอย่างต่อเนื่องด้วย
